Page 367 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 367

343


                           4.7.2 การปรับใช้หลัก “Margin of Appreciation” กับการเลือกปฏิบัติมิติอื่นๆ


                           จากคดีดังกลําวข๎างต๎น ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได๎พิจารณากฎหมายภายในของรัฐซึ่งสํงผลเป็นการ
                   เลือกปฏิบัติตํอผู๎ติดเชื้อ HIV ซึ่งหากกรณีนี้ศาลเห็นวํา รัฐมี “Margin of Appreciation” หรือขอบเขตการ
                   ใช๎ดุลพินิจที่กว๎างแล๎ว กฎหมายดังกลําวก็อาจใช๎บังคับได๎ แม๎วํามีลักษณะการเลือกปฏิบัติแตํมีน้ําหนักและ

                   เหตุผลอยํางเพียงพอ อยํางไรก็ตาม คดีนี้ศาลเห็นวํา ผู๎ติดเชื้อ HIV  เป็นบุคคลที่เปราะบาง ดังนั้น ขอบเขต
                   แหํงการใช๎ดุลพินิจในการเลือกปฏิบัติจะต๎องมีขอบเขตที่แคบ โดยการพิจารณาประโยชน์อื่นที่กฎหมายมุํง
                   คุ๎มครองแล๎ว จะต๎องเป็นกรณีที่มีน้ําหนักเป็นอยํางยิ่ง (Very  Weighty  Reasons-Test)  อีกทั้งในการ
                   พิจารณาความชอบด๎วยกฎหมายของกฎหมายหรือมาตรการดังกลําวนั้น จะต๎องพิจารณาด๎วยความเข๎มงวด

                   อยํางยิ่ง (Rigorous Scrutiny) จากหลักการดังกลําวนี้ ศาลพิจารณาแล๎วเห็นวํา ประโยชน์ที่กฎหมายกรณีนี้
                   มุํงคุ๎มครองยังมีน้ําหนักน๎อยเมื่อเทียบกับความเปราะบางของกลุํมผู๎ติดเชื้อ HIV  ดังจะเห็นได๎จากที่ศาล
                   อธิบายไว๎วํา มาตรการที่รัฐนํามาใช๎นั้น “..อยูํบนสมมุติฐานที่เชื่อมโยงการติดเชื้อ  HIV  กับพฤติกรรมที่ไมํ
                   เหมาะสม”  อีกทั้งมีลักษณะ “เหมารวม”  วําผู๎ติดเชื้อ HIV  มักเป็นผู๎ที่มีพฤติกรรมไมํเหมาะสมและไมํ

                   ปลอดภัย ดังนั้น ศาลจึงเห็นวํา แม๎กฎหมายดังกลําวมุํงคุ๎มครองประโยชน์ซึ่งก็คือความปลอดภัยจากเชื้อ
                   HIV  ของประชาชน แตํเหตุผลของกฎหมายดังกลําวยังไมํมีน้ําหนักเพียงพอและวางอยูํบนสมมุติฐานที่มี
                   น้ําหนักน๎อยดังกลําว ดังนั้นกฎหมายที่มีลักษณะเลือกปฏิบัติดังกลําวจึงไมํมีเหตุผลที่ชอบด๎วยกฎหมายและ
                   ขัดตํอหลักการเลือกปฏิบัติ


                           หากใช๎กรอบการวิเคราะห์นี้มาเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดในสภาพแวดล๎อมของไทย เชํน


                           ในระดับของรัฐที่เกี่ยวข๎องกับการตรากฎหมาย หรือ กฎ ระเบียบ ตํางๆ หากมีลักษณะปฏิบัติตํอผู๎
                   ติดเชื้อเอชไอวีแตกตํางจากบุคคลอื่น และการปฏิบัติแตกตํางนั้นมีเหตุผลที่มีน้ําหนักเพียงพออยํางยิ่งมา
                   รองรับ การปฏิบัติที่แตกตํางดังกลําวก็สามารถจัดอยูํในขอบแหํงดุลพินิจที่กว๎างขึ้นได๎


                           นอกจากกรณีของผู๎ติดเชื้อเอชไอวีแล๎ว หลักการดังกลําวอาจนําไปวิเคราะห์กฎหมายอื่นได๎ เชํน
                   กรณีของกฎหมายไทยที่กําหนดให๎บุคคลผู๎มี “ประวัติอาชญากรรม”  ไมํสามารถเข๎ารับราชการได๎โดยไมํมี

                   ข๎อยกเว๎นหรือโดยไมํคํานึงถึงความแตกตํางของความผิดที่กระทํา กรณีเหลํานี้อาจพิจารณาได๎วําเป็นการ
                   เหมารวมและอาจถือไมํได๎วํามี “น้ําหนักเป็นอยํางยิ่ง” (very weighty reasons-test)


                           หากเปรียบเทียบกับคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ผํานมาจะเห็นได๎วํา กรณีพระราชบัญญัติสัญชาติ
                   พ.ศ. 2508  ไมํได๎ให๎สิทธิแกํชายตํางด๎าวที่สมรสกับหญิงไทยในการที่จะได๎สัญชาติโดยการแปลงชาติได๎
                   เชํนเดียวกับหญิงตํางด๎าวที่สมรสกับชายสัญชาติไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล๎วเห็นวํา ไมํถือเป็น

                   บทบัญญัติที่กํอให๎เกิดความไมํเสมอภาคกันในกฎหมายระหวํางชายและหญิง  หรือเป็นการทําให๎ชายและ
                   หญิงไมํได๎มีสิทธิเทําเทียมกัน (คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 37/2546)  จะเห็นได๎วํา โดยหลักแล้วเป็นการ
                   ปฏิบัติที่แตกต่างกันในระดับหลักการของกฎหมายและเกี่ยวข้องกับเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติคือเพศ แตํ
                   ศาลวินิจฉัยวําไมํเป็นการเลือกปฏิบัติเนื่องจากมีเหตุผลอื่นโดยเฉพาะที่ศาลอธิบายวํา  “เป็นมาตรการรัฐที่

                   ก าหนดขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและความมั่นคงของประเทศ”  ซึ่งอาจพิจารณาเปรียบเทียบได๎กับ
   362   363   364   365   366   367   368   369   370   371   372