Page 266 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 266

242


                           ในกรณีของประเทศอินเดียนั้น รัฐธรรมนูญอินเดีย มาตรา 15 วางหลักความเทําเทียมกันและห๎าม
                   เลือกปฏิบัติไว๎ โดยกําหนดวํารัฐจะต๎อง “ไมํเลือกปฏิบัติ ตํอพลเมือง...” โดยมิได๎ใช๎คําวํา “เป็นธรรม” หรือ

                   “ไมํเป็นธรรม” ในการจําแนกความแตกตํางระหวํางการปฏิบัติตํอพลเมืองแตกตํางกันด๎วยเหตุแหํงการเลือก
                   ปฏิบัติ อยํางไรก็ตาม รัฐธรรมนูญกําหนดยกเว๎นให๎การปฏิบัติที่แตกตํางตํอพลเมืองบางกรณีไมํให๎ถือวําเป็น
                   การเลือกปฏิบัติ กลําวคือ กรณีที่รัฐกําหนดให๎มี มาตรการพิเศษ (Special  provision)  สําหรับเด็ก สตรี
                   และกลุํมผู๎เสียเปรียบทางด๎านสังคมและการศึกษา ( มาตรา 15 (3) - (5) ) จะเห็นได๎วําข๎อยกเว๎นนี้มีลักษณะ

                   เป็น “มาตรการยืนยันสิทธิเชิงบวก”  (Affirmative  Action)  ดังจะได๎วิเคราะห์ตํางหาก  ซึ่งในสํวนนี้มี
                   ลักษณะคล๎ายกับรัฐธรรมนูญของไทย เชํน ฉบับปี 2550 ซึ่งกําหนดไว๎วํามาตรการยืนยันสิทธิเชิงบวกจะไมํ
                   ถือวําเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรม


                           สําหรับ รัฐธรรมนูญของมาเลเซีย นั้นวางหลักความเทําเทียมกันและการไมํเลือกปฏิบัติไว๎ใน
                   มาตรา 8 และ มาตรา 12 โดยใช๎คําวํา “ห๎ามเลือกปฏิบัติ” สําหรับการปฏิบัติแตกตํางกันที่ไมํถือวําเป็นการ

                   “เลือกปฏิบัติ”  นั้นรัฐธรรมนูญมิได๎ใช๎ถ๎อยคําใดโดยเฉพาะ จะเห็นได๎วํามิได๎มีการใช๎คํา “ไมํเป็นธรรม”  มา
                   จําแนกระหวํางการเลือกปฏิบัติที่ต๎องห๎ามตามรัฐธรรมนูญกับการกระทําที่ไมํถือวําเป็นการเลือกปฏิบัติ
                   ดังเชํนตามรัฐธรรมนูญของไทย นอกจากนี้พบวํา รัฐธรรมนูญมาเลเซียกําหนดหลักเกณฑ์หรือแนวทางใน
                   การพิจารณาจําแนก การเลือกปฏิบัติ ที่ต๎องห๎ามตามกฎหมาย กับ การปฏิบัติที่แตกตํางกันแตํไมํต๎องห๎าม

                   ตามกฎหมาย โดยมาตรา 8 กําหนดข๎อยกเว๎นไว๎หลายกรณี เชํน กรณีมีบทบัญญัติหรือแนวปฏิบัติในการ
                   จํากัดการทํางานที่เกี่ยวข๎องกับศาสนา กรณีมีบทบัญญัติใดๆ ที่คุ๎มครองความเป็นอยูํของชาวพื้นเมือง
                   (Aboriginal People) เป็นต๎น ซึ่งอาจจัดเป็นกรณี “มาตรการยืนยันสิทธิเชิงบวก” (Affirmative Action)

                   ดังจะได๎วิเคราะห์ตํางหาก ซึ่งในสํวนนี้มีลักษณะคล๎ายกับรัฐธรรมนูญของไทย เชํน ฉบับปี 2550 ซึ่งกําหนด
                   ไว๎วํามาตรการยืนยันสิทธิเชิงบวกจะไมํถือวําเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรม


                           สําหรับกรณีของประเทศสิงค์โปร์นั้น หลักการเกี่ยวกับความเทําเทียมกันและการห๎ามเลือกปฏิบัติ
                   ปรากฏในรัฐธรรมนูญสิงค์โปร์ มาตรา 12 วําด๎วย “การคุ๎มครองความเทําเทียมกัน” (Equal Protection)
                   โดยมาตรา 12 นี้เริ่มจากการกําหนดคุ๎มครองความเทําเทียมกัน จากนั้นจึงวางหลักห๎ามเลือกปฏิบัติด๎วยเหตุ
                   ที่กําหนด อยํางไรก็ตาม กฎหมายสิงค์โปร์มิได๎จําแนกความแตกตํางระหวําง การเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม กับ
                   การเลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรม


                                                                                                 139
                           ศาลสูงสุดได๎ตีความมาตรา 12 ในคดี Public  Prosecutor  v.  Taw  Cheng  Kong   โดยวาง
                   เกณฑ์สําหรับพิจารณาวํากฎหมายหรือมาตรการที่พิพาทนั้น เป็นการเลือกปฏิบัติที่ขัดตํอรัฐธรรมนูญมาตรา
                   12 หรือไมํ เกณฑ์ดังกลําวมีสองขั้น (Stages) ดังนี้










                   139
                      Public Prosecutor v. Taw Cheng Kong [1998] 2 S.L.R.(R.) 489
   261   262   263   264   265   266   267   268   269   270   271