Page 95 - รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
P. 95
ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย
๑) คณะรัฐมนตรีควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และพระราชบัญญัติภาษี
เงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยแก้ไขบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสม ในส่วนของระบบการบริหารจัดการทรัพยากร
ปิโตรเลียมที่มีอยู่อย่างจ�ากัด รวมถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและ
การดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ชัดเจน และควรตระหนักถึงสิทธิการมีส่วนร่วมและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
และเร่งสร้างความเข้าใจที่ตรงกันแก่ทุกฝ่ายด้วยการน�าเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน อีกทั้ง เปิดพื้นที่สาธารณะให้
แก่ภาคประชาชนในการแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางการหาทางออกของปัญหาด้านพลังงานที่เป็นข้อตกลงร่วมกัน
ของทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน
๒) หากข้อเสนอในข้อ ๑) ไม่สามารถด�าเนินการได้ ควรพิจารณาถอนร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ....
ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้ เพื่อน�ากลับมาทบทวนใหม่
ข้อเสนอแนะนโยบาย
๑) คณะรัฐมนตรีควรพิจารณาน�าหลักปฏิบัติของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations
Environment Programme : UNEP) คือ หลัก Guidelines for the Development of National Legislation on
Access to Information, Public Participation and Access to Justice in Environmental Matters มาใช้ในการ
ก�ากับดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับสัมปทานจัดการพลังงานปิโตรเลียม ซึ่งการส�ารวจขุดเจาะพลังงานปิโตรเลียมมีผลกระทบต่อ
สิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของชุมชน และควรพิจารณาให้ประเทศไทยเข้าไปเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการเข้าถึง
ข้อมูล การมีส่วนร่วมสาธารณะในการตัดสินใจและการเข้าถึงความยุติธรรมในเรื่องสิ่งแวดล้อม (The Convention on
Access to Information, Public Participation in Decision-Making and Access to Justice in Environmental
Matters 1998) หรือ Aarhus Convention ซึ่งอนุสัญญานี้จะว่าด้วยเรื่องสิทธิที่เกี่ยวกับการจัดการโครงการของรัฐที่มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๓ ประเด็น คือ ๑) การเข้าถึงข้อมูล ๒) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ และ ๓) การ
เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ขณะนี้มี ๔๗ ประเทศ ที่เข้าเป็นภาคีแล้ว เพราะถ้าประเทศไทยให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติ
อนุสัญญาฉบับนี้แล้ว จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างยิ่ง เพราะอนุสัญญานี้จะวางกรอบว่า รัฐจะต้องตรากฎหมาย
ภายในให้สอดคล้องกับอนุสัญญา ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาโครงการต่าง ๆ ของรัฐที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใน
อนาคต เช่น โครงการสัมปทานปิโตรเลียมของรัฐที่ประชาชนอ้างว่ายังขาดธรรมาภิบาล และขาดการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้ง
โครงการสร้างโรงไฟฟ้า
๒) คณะรัฐมนตรีควรน�าหลักการของข้อตกลงโลก (Un Global Compact : UNGC) และหลักการชี้แนะของ
สหประชาชาติ ว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nation Guiding Principles on Business and Human Rights
: UNGPs) มาใช้กับภาคธุรกิจและสมควรเร่งให้มีการจัดท�าแผนปฏิบัติการชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (National
Action Plan for the Business and Human Rights : NAP) เพื่อการปกป้องคุ้มครองและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน
๓) คณะรัฐมนตรีควรก�าหนดนโยบายให้สอดคล้องกับหลักการซึ่งประเทศไทยได้ให้การรับรองเป้าหมายการ
พัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals : SDGs) ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่ง
สหประชาชาติ (UN General Assembly) ซึ่งมี ๑๗ เป้าหมาย โดยเป้าหมายที่ ๗ เป็นเรื่องเฉพาะด้านพลังงาน ซึ่งก�าหนด
ว่ารัฐบาลต้อง “สร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดในราคาที่ย่อมเยาและยั่งยืน”
94 | รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐