Page 113 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 113

๙๖




                   ก าหนดข้อยกเว้นในกรณีที่เป็นการด าเนินการลงโทษของศาลภายหลังจากที่มีการตัดสินว่าได้กระท า
                   ความผิดอาญา หรือข้อ ๒ วรรคสอง ก าหนดข้อยกเว้นในกรณีด าเนินการจับกุมอันชอบด้วยกฎหมาย หรือ

                   ป้องกันมิให้บุคคลที่ถูกควบคุมตัวโดยชอบด้วยกฎหมายนั้นหลบหนีไป หรือด าเนินการโดยชอบด้วย
                   กฎหมายเพื่อปราบจลาจลหรือปราบกบฎ ซึ่งการด าเนินการต่างๆ ดังกล่าวย่อมเป็นการด าเนินการโดย
                   องค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น แต่ทั้งนี้ พึงต้องตระหนักว่าองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่
                   มีอ านาจด าเนินการหรือกระท าการอันเป็นการแทรกแซงการใช้สิทธิหรือเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลจะ
                   จ ากัดอยู่แต่เฉพาะองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระท าอันเป็นการขัดหรือ

                   จ ากัดสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวนั้นเท่านั้น ดังที่ก าหนดไว้โดยชัดแจ้งในข้อยกเว้นหรือข้อจ ากัดสิทธิและ
                   เสรีภาพในแต่ละกรณี
                                         โดยนัยดังกล่าว เฉพาะแต่องค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

                   ที่จะมีอ านาจในการกระท าหรือด าเนินมาตรการอันเป็นการยกเว้นหรือจ ากัดสิทธิและเสรีภาพ
                   ขั้นพื้นฐานของบุคคลได้ หากแต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขเกี่ยวกับการกระท าการตามที่อนุสัญญา
                   แห่งยุโรปฯ ก าหนดด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัจเจกชนหรือเอกชนด้วยกันย่อมไม่มีอ านาจที่จะกระท าการอัน
                   เป็นการแทรกแซงสิทธิหรือเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล ผลที่ตามมา ก็คือ การรับรองและคุ้มครองสิทธิ

                   มนุษยชนในประการต่างๆ ดังที่ก าหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาแห่งยุโรปฯ
                   ย่อมใช้บังคับไม่เพียงแต่ใน “ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐและเอกชน” เท่านั้น หากแต่ยังได้รับ
                   ความคุ้มครองใน “ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน” ด้วยกันเองอีกด้วย แนวทางการตีความเช่นนี้ยังได้รับ
                   การยืนยันตามข้อ ๑๓ แห่งอนุสัญญาแห่งยุโรปฯ ซึ่งก าหนดว่า “บุคคลทุกคนซึ่งสิทธิและเสรีภาพขั้น

                   พื้นฐานของตนได้รับการคุ้มครองตามอนุสัญญานี้ถูกล่วงละเมิด มีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลแห่งรัฐของตน
                   แม้ว่าการล่วงละเมิดนั้นจะกระท าขึ้นโดยบุคคลซึ่งปฏิบัติ ตามหน้าที่ของตนก็ตาม” ดังนั้น หากองค์กรของ
                   รัฐจะกระท าการอันเป็นการยกเว้นหรือจ ากัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลจะต้องกระท าตาม
                   เงื่อนไขเกี่ยวกับการกระท าการดังจะได้กล่าวต่อไปแล้ว การกระท าการอันเป็นการแทรกแซงสิทธิและ

                   เสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลหนึ่งโดยบุคคลอีกคนหนึ่งย่อมจะกระท ามิได้ยิ่งกว่า
                                         ดังนั้น นอกจากรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาแห่งยุโรปฯ จะมีหน้าที่จะต้องเคารพสิทธิ
                   และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลในประการต่างๆ ที่ได้รับการคุ้มครองในอนุสัญญานี้ โดยจะต้องไม่

                   กระท าการใดๆ อันเป็นการแทรกแซงโดยมิชอบหรือล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพเหล่านั้น (“negative
                   obligation”) แล้ว รัฐภาคียังมีหน้าที่จะต้องด าเนินมาตรการให้ปัจเจกชนทุกคนเคารพต่อสิทธิดังกล่าว
                                                   ๑๗๖
                   ด้วยเช่นกัน (“positive obligation”)  ทั้งในรูปมาตรการคุ้มครองทางแพ่งและมาตรการคุ้มครองทาง
                   อาญาตามความเหมาะสม
                                         อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถกระท าการอัน

                   เป็นข้อยกเว้นหรือข้อจ ากัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าองค์กรของรัฐ
                   จะกระท าการหรือก าหนดมาตรการเป็นประการใดก็ได้ หากแต่ต้องกระท าตามเงื่อนไขเกี่ยวกับการกระท า
                   อันเป็นการแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานด้วย






                          ๑๗๖
                              M.-A. EISSEN, La Convention et les devoirs de l’individu dans la protection internationale
                   des droits de l’homme dans le cadre européen, 1967. pp. 176-177.
   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117   118