Page 88 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 88
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คดี Valico S.R.L. c. Italie ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๖
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นบริษัทก่อสร้างบ้าน ซึ่งการออกแบบก่อสร้างไม่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการคุ้มครอง
ผังเมืองและสิ่งแวดล้อม และถูกรัฐบาลอิตาลีสั่งให้หยุดก่อสร้างและรื้อถอนโครงสร้าง จึงได้ฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาล
ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปพิจารณาแล้วเห็นว่า การด�าเนินการดังกล่าวควรเข้าสู่กระบวนการระงับ
ข้อพิพาทตามกฎหมายภายในของอิตาลีเสียก่อน โดยรัฐบาลอิตาลีจะต้องสร้างความยุติธรรมระหว่างผลประโยชน์
โดยทั่วไปกับทรัพย์สินของเจ้าของที่พึงต้องสูญเสียไปจากการถูกรื้อถอน กรณีนี้จึงไม่ขัดต่อสิทธิในความเป็นเจ้าของ
ทรัพย์สิน
๓.๑.๓.๖ คดีเกี่ยวกับสิทธิในการได้รับและเผยแพร่ข่าวสารและความคิด (Right to Receive and
Impart Information and Ideas)
คดี Steel and Morris v. the United Kingdom ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๕
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นองค์กรขนาดเล็กที่ท�าหน้าที่เกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยช่วง
ปี ๑๙๘๖ ผู้ฟ้องคดีได้ตีพิมพ์บทความจ�านวน ๖ แผ่น หัวข้อ “What’s Wrong with McDonald’s?” ซึ่งมีเนื้อหา
เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของแมคโดนัลที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ท�าให้แมคโดนัลฟ้องร้องผู้ฟ้องคดีในข้อหาหมิ่นประมาท
ส่งผลให้ผู้ฟ้องคดีต้องชดใช้เยียวยาความเสียหายให้แก่แมคโดนัล โดยที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า เป็นการละเมิดสิทธิในการได้รับ
และเผยแพร่ข่าวสารและความคิด
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้มีการแสดงความเห็นโดยสุจริตใจ และในสังคมประชาธิปไตยก็
ไม่ควรปิดกั้นการแสดงความเห็นดังกล่าว หากมิใช่ความเห็นที่เป็นการใส่ความหรือผิดกฎหมาย การแสดงความเห็นก็
ไม่ได้จ�ากัดไว้แต่เพียงนักข่าวหรือนักหนังสือพิมพ์เท่านั้น บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด ๆ ก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น
อย่างเป็นธรรมได้ การกระท�าดังกล่าวของอังกฤษถือว่าเป็นการละเมิดมาตรา ๑๐ ของอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วย
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เกี่ยวสิทธิในการได้รับและเผยแพร่ข่าวสารและความคิด
คดี Vides Aizsardzibas Klubs v. Latvia ลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๔
ผู้ฟ้องคดีเป็นนักพัฒนาเอกชน (NGO) เพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในปี ๑๙๙๗ ได้มีหนังสือไปยัง
หน่วยงานภาครัฐเพื่อปกป้องคุ้มครองชายฝั่งทะเลของอ่าว Rica พร้อมทั้งตีพิมพ์เผยแพร่ข้อเรียกร้องในหนังสือพิมพ์
โดยมีข้อความในตอนหนึ่งว่า นายกเทศมนตรีได้มีการอ�านวยความสะดวกให้แก่ผู้ก่อสร้างอาคารบริเวณชายฝั่ง
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายกเทศมนตรีจึงฟ้องผู้ฟ้องคดีข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลภายใน ศาลภายในพิจารณา
พิพากษาว่า ผู้ฟ้องคดีไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า นายกเทศมนตรีรับเงินจากบริษัทก่อสร้างดังกล่าว จึงให้ตีพิมพ์บทความขอโทษ
ต่อนายกเทศมนตรี ผู้ฟ้องคดีเห็นว่ากรณีนี้เป็นการละเมิดต่อสิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จึงยื่นค�าฟ้องมายัง
ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้ถือว่าเป็นการละเมิดมาตรา ๑๐ ของอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วย
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับสิทธิในการได้รับและเผยแพร่ข่าวสารและความคิด เนื่องจาก
การแสดงความคิดเห็นของ NGO เป็นการแสดงความเห็นเพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยสุจริต แต่จะต้องอยู่บน
พื้นฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ มิใช่การกล่าวอ้างลอย ๆ เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น องค์กรภาครัฐ
จะต้องเคารพสิทธิในการเผยแพร่ข่าวสารและความคิดโดยสุจริตใจบนพื้นฐานข้อเท็จจริงด้วย
87