Page 43 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 43

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





                                   (๔) หน้าที่ต่อผู้ทรงสิทธิมนุษยชนเป็นของใคร

                                      ตามทฤษฎีของกฎหมายเมื่อกฎหมายให้ผู้ใดมีสิทธิ  (Rights)  ย่อมก่อให้เกิดหน้าที่ตามมา
          (Duties) พร้อมกับสิทธินั้น ๆ ค�าถามก็คือว่า เมื่อก�าหนดให้กลุ่มของประชาชนมีสิทธิมนุษยชนเชิงกลุ่ม ใครจะเป็นผู้มีหน้าที่

          ในการคุ้มครองสิทธิ หากกลุ่มผู้ทรงสิทธิเป็นรัฐหรือเป็นประเทศทั้งประเทศที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเชิงกลุ่ม ใครจะเป็น
          ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศนั้น ๆ ซึ่งโดยปกติหากบุคคลคนใดเรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของตน
          รัฐที่ผู้นั้นสังกัดมีหน้าที่ต้องให้ความคุ้มครอง แต่หากกลุ่มคนในประเทศนั้น ๆ เป็นผู้ทรงสิทธิทั้งประเทศ รัฐใดจะต้องให้

          ความคุ้มครองในเมื่อรัฐทุกรัฐต่างมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีรัฐใดอยู่เหนือรัฐใด แม้องค์การระหว่างประเทศอย่างเช่น องค์การ
          สหประชาชาติก็มิได้เป็นองค์การที่อยู่เหนือรัฐอื่น ๆ หากประเทศก�าลังพัฒนาเรียกให้ประเทศพัฒนาแล้วให้ความคุ้มครอง
          สิทธิในการพัฒนาของตนก็เท่ากับว่า ประเทศก�าลังพัฒนายอมรับว่าประเทศพัฒนามีอ�านาจเหนือตนแล้วหรือไม่ และจะ

          น�าไปสู่หลักการใหม่ที่ว่าผู้ที่พัฒนากว่าย่อมต้องคุ้มครองผู้ด้อยพัฒนากว่าตนหรือไม่  และหลักการนี้จะต้องพัฒนามาเป็น
          หลักการตามกฎหมายภายในที่จะก�าหนดให้ประชาชนผู้พัฒนามากกว่าเป็นผู้รับผิดชอบคุ้มครองประชาชนผู้พัฒนา
          ด้อยกว่าด้วยหรือไม่ ปัญหาเหล่านี้ยังคงเป็นปัญหาต่อไปยังไม่มีที่สิ้นสุดในการใช้สิทธิมนุษยชนเชิงกลุ่มของสิทธิมนุษยชน

          ช่วงที่สามนี้  ผู้วิจัยเห็นว่าปัญหานี้เป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศที่ยังเป็นที่โต้แย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างประเทศ
          พัฒนาแล้วกับประเทศพัฒนาน้อย อย่างในทวีปแอฟริกา จึงท�าให้หลักเกณฑ์ทางวิชาการถูกบิดเบือนไปตามการเมือง

          ระหว่างประเทศ
                                      ส�าหรับประเทศไทย การยอมรับสิทธิมนุษยชนในช่วงที่สามมาใช้ปฏิบัติในฐานะสิทธิ
          มนุษยชนอย่างเต็มรูปนั้น อาจมีส่วนดีในแง่ของการคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้กลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่มหรือของ

          ปัจเจกบุคคลที่อยู่เหนือกว่ากฎหมายระดับพระราชบัญญัติ  และให้ศักดิ์ทางกฎหมายเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญของ
          ประเทศไทย ดังนั้น กฎหมายใด ๆ ที่ขัดต่อสิทธิมนุษยชนในช่วงที่สามย่อมต้องถูกลบล้างหรือยกเลิกเพิกถอนออกไป แต่

          ส่วนเสียก็มีอยู่มากโดยเฉพาะสิทธิในสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิทธิที่กระทบกับสิทธิอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเคียงและมีส่วนสัมพันธ์กับสิทธิ
          ทางแพ่ง เช่น สิทธิในความเป็นเจ้าของ สิทธิครอบครองและใช้สอยทรัพย์ ฯลฯ ผลที่เกิดขึ้นหากมีบุคคลหรือกลุ่มใดๆ
          อ้างต่อรัฐเพื่อให้คุ้มครองสิทธิในสิ่งแวดล้อมให้ตนหรือกลุ่มอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ย่อมหมายความว่า หากค�าว่าสิ่งแวดล้อม

          ที่ดีถูกตีความให้มีมาตรฐานการคุ้มครองที่สูงมากแล้ว รัฐย่อมมีค่าใช้จ่ายจ�านวนมากในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้
          กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี และการรักษาสมดุลระหว่างระบบเศรษฐกิจของรัฐหรือผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของสาธารณะ
          กับสิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมต้องถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากค�านิยามต่าง ๆ

          เกี่ยวกับผู้ทรงสิทธิในสิทธิมนุษยชนก็ดี หรือหน้าที่ต่าง ๆ ตามสิทธิก็ดี อาจต้องมีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ค�าถาม
          ก็คือ  ประเทศไทยมีความพร้อมแล้วหรือไม่ในการน�าสิทธิในช่วงที่สามมาคุ้มครองปัจเจกบุคคลภายในประเทศ  อย่างไรก็ดี
          การจะคุ้มครองสิทธิใดในฐานะสิทธิมนุษยชนนั้นควรจะต้องพิจารณาสังคมระหว่างประเทศด้วย เพราะสิทธิมนุษยชน

          ต้องมีความเป็นสากล  หากสิทธิที่จะคุ้มครองไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นสิทธิมนุษยชนในระดับสากล  แต่น�ามาบัญญัติโดย
          รัฐธรรมนูญไทย สิทธิดังกล่าวอาจมีสถานะเป็นเพียงสิทธิตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่ใช่สิทธิมนุษยชนที่นานาชาติต้องให้

          ความเคารพ ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยให้ความคุ้มครองสิทธิมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับถ้อยค�าที่บัญญัติว่า
          จะคุ้มครองเฉพาะคนไทยหรือต่างชาติด้วย หากคุ้มครองต่างชาติด้วยก็อาจกลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญได้











                                                           42
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48