Page 39 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 39
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
๒) ลักษณะของสิทธิมนุษยชน
แม้ส�านักกฎหมายที่เป็นต้นก�าเนิดแนวคิดในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คือ ส�านักกฎหมาย
ธรรมชาติซึ่งยึดโยงสิทธิมนุษยชนเข้ากับศีลธรรมและอธิบายว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษย์แต่ละคน
พึงได้รับตั้งแต่ก�าเนิดเกิดมาถ้วนทั่วทุก ๆ คน โดยทัดเทียมกันก็ตาม แต่ก็มีส�านักความคิดอื่น ๆ โดยเฉพาะส�านักกฎหมาย
ฝ่ายบ้านเมืองที่ยังไม่เห็นด้วยกับสิทธิมนุษยชนของส�านักกฎหมายธรรมชาติ จึงท�าให้นิยามของสิทธิมนุษยชนไม่อาจที่จะ
ปรากฏออกมาเป็นที่ยอมรับในสังคมโลกได้
อย่างไรก็ดี เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ได้มีการประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ณ
กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประชุมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการประชุมโลกว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
(World Conference on Human Rights) และผลที่ได้จากการประชุม คือ ปฏิญญากรุงเวียนนาและโครงการปฏิบัติการ
(Vienna Declaration and Programme of Action) รวมถึงการยอมรับหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ว่าเป็นตราสารที่ส�าคัญอันกอปรไปด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่ส�าคัญ ซึ่งในปฏิญญากรุงเวียนนาและโครงการปฏิบัติการ ได้
ระบุเกี่ยวกับลักษณะของสิทธิมนุษยชนว่า “สิทธิมนุษยชนทั้งปวงมีความเป็นสากล ไม่อาจแบ่งแยกได้ และมีความเชื่อม
โยงและสัมพันธ์กัน สังคมระหว่างประเทศจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลกด้วยความเป็นธรรมและเท่าเทียม
ถ้วนทั่วทุกคนและเสมอกัน (All human rights are universal, indivisible and interdependent and interrelated.
The International Community must treat human rights globally in a fair and equal manner, on the same
footing, and with the same emphasis) ดังนั้น จึงอาจสรุปลักษณะเฉพาะของสิทธิมนุษยชนได้ เป็นลักษณะที่ส�าคัญ
ดังนี้
๒.๑) มีความเป็นสากล (Universal)
บุคคลทุกคนได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่า
บุคคลนั้นจะเป็นสมาชิกของกลุ่มทางการเมือง เชื้อชาติ สังคม หรือวัฒนธรรมใด การเลือกประติบัติต่อบุคคลในการคุ้มครอง
สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่ารัฐนั้นจะมีระบบการเมืองการปกครองหรือระบบเศรษฐกิจแบบใดประชาชนก็
พึงมีสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมกันภายใต้ระบบกฎหมายของประเทศนั้น ๆ กฎหมายภายในไม่ควรยกเว้นหรือท�าลาย
ความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชนให้ด้อยลง พันธกรณีของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ควรได้รับการบังคับใช้โดยระบบกฎหมายภายใน รวมทั้งมีมาตรการมารองรับเพื่อบูรณาการสิทธิมนุษยชนด้วย
อย่างไรก็ดี ลักษณะความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชนก็ยังมีข้อถกเถียงว่า สิทธิมนุษยชน
จ�าเป็นต้องมีความเป็นสากลหรือไม่ หรือค�าว่าสากลควรจะมีข้อยกเว้นบางพื้นที่ หากพิจารณาด้านสังคมหรือวัฒนธรรมที่
แตกต่างกันของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกปฏิบัติด้านสีผิวที่เกิดปัญหาเฉพาะในชาติยุโรปหรือชาติอื่น ๆ
ที่ปรากฏการเลือกปฏิบัติด้านสีผิว ท�าให้โอกาสของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกันด้วยเหตุของสีผิว แต่จะไม่พบว่ามีการเลือก
ปฏิบัติด้านสีผิวในภูมิภาคเอเชียมากนัก จึงมีผู้ตั้งค�าถามว่าลักษณะของสิทธิมนุษยชนจ�าเป็นต้องมีความเป็นสากลหรือไม่ 11
หรือควรระบุลักษณะสิทธิมนุษยชนให้ใช้เพียงค�าว่า ระหว่างประเทศหรือนานาชาติ (International) ซึ่งมีความหมายไม่
12
เคร่งครัดกว่าค�าว่า สากล (Universal) แต่ก็ต้องมีความเป็นศีลธรรมระหว่างประเทศ (International Moral) อยู่ด้วย
11
From Beginning Human Rights Law (pp 13) Howard Davis 2014 New York: Routledge.
12
From “The Philosophical Foundations of Human Rights” by Michael Freeman (1994) Human Rights
Quarterly, Vol. 16, No. 3 (August) pp 502.
38