Page 31 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 31

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ




               ๑.๕.๑ แนวทางการอ้างสิทธิเชิงคู่ (Dual Right-based Approach) ระหว่าง “สิทธิของธรรมชาติ

          (Nature’s Rights)”  กับ “สิทธิมนุษยชน (Human Rights)”
                     วิธีการหนึ่งในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ การใช้ระบบที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Anthropocentric
          Rights-based Approach) ส่วนอีกวิธีการหนึ่งที่ใช้คู่ขนานกันมา คือ การใช้ระบบที่เอาระบบนิเวศของธรรมชาติเป็น

          ศูนย์กลาง (Ecocentric Nature’s Rights-based Approach) โดยทั้งสองแนวทางมีการน�ามาใช้ในลักษณะเชื่อมโยงซึ่งกัน
          และกัน  เนื่องจากผลกระทบจากกิจกรรมที่ท�าลายสิ่งแวดล้อมมีหลายประเภทซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน  ดังจะเห็นได้จาก

          ความแตกต่างระหว่าง ผลกระทบประเภทที่เห็นทันตา (Imminent Impact) กับผลกระทบประเภทที่ยังไม่เห็นทันที
          (Delayed Impact)
                     ผลกระทบประเภทที่เห็นทันตา (Imminent Impact) มักจะได้รับการเยียวยาอย่างทันทีโดยอาศัยแนวทาง

          สิทธิมนุษยชน (Human Rights Approach) ภายใต้มาตรการแบบสนองตอบ (Response Measure) เช่น ผลกระทบของ
          ภาวะโลกร้อนที่มีต่อมนุษย์ในแง่การขาดแคลนอาหาร  และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป  ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่อง

          กันมาจากเหตุอื่น ๆ ของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของธรรมชาติ
                     ส่วนผลกระทบประเภทที่ยังไม่เห็นทันที (Delayed Impact) มักจะได้รับการเยียวยาโดยอาศัยแนวทางสิทธิ
          ของธรรมชาติ (Nature’s Rights Approach) ภายใต้มาตรการแบบป้องกัน (Preventive Measure) เช่น ผลกระทบของ

          ภาวะโลกร้อนที่มีต่อระบบธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรืออุทกภัยอย่างรุนแรง ล้วนเป็นผลกระทบต่อ
          ระบบนิเวศของธรรมชาติซึ่งเป็นผลกระทบในล�าดับแรกด้วยกันทั้งสิ้น
                     ดังนั้น  ในแนวทางการอ้างสิทธิเชิงคู่เพื่อจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น  จึงต้องพิจารณาทั้งสิทธิธรรมชาติ

          ในความหมายสิทธิของธรรมชาติ (Nature’s Rights) ภายใต้ระบบที่เอาระบบนิเวศของธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง (Eco-
          centricism) ควบคู่ไปกับสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ภายใต้ระบบที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Anthropocentricism)



               ๑.๕.๒ ความแตกต่างระหว่าง “สิทธิของธรรมชาติ (Rights of Nature)” กับ “สิทธิในสิ่งแวดล้อม
          (Right to Environment)”

                      การใช้ค�าว่า “สิทธิของธรรมชาติ” มีความหมายแตกต่างจากค�าว่า “สิทธิในสิ่งแวดล้อม” กล่าวคือ


                      สิทธิของธรรมชาติ คือ การยอมรับและเชิดชูว่าธรรมชาติมีสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ มหาสมุทร สัตว์ ภูเขา

          ในระบบนิเวศล้วนมีสิทธิท�านองเดียวกับที่มนุษย์มีสิทธิ  เพื่อเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการให้คุณค่าว่าสิ่งใดดีต่อมนุษย์
          กับสิ่งใดดีต่อสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งเป็นการมองโลกอย่างเป็นองค์รวมว่าทุกสิ่งในระบบนิเวศล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน

          ภายใต้แนวคิดดังกล่าว  ธรรมชาติจะไม่ถูกกระท�าในฐานะที่เป็นเพียงทรัพย์สินของมนุษย์เท่านั้น  แต่ธรรมชาติจะได้รับ
          การยอมรับว่ามีสิทธิในการมีอยู่ ทนทาน บ�ารุงรักษา และให้ก�าเนิดวงจรที่ส�าคัญ ๆ ของมัน โดยมนุษย์มีอ�านาจและความ
          รับผิดชอบทางกฎหมายที่จะบังคับใช้สิทธิดังกล่าวได้ในนามของระบบนิเวศ วัฒนธรรมชนพื้นเมืองทั่วโลกมีการยอมรับ

          ในสิทธิของธรรมชาติ ในบางประเทศสิทธิของธรรมชาติได้รับการยอมรับไว้ในกฎหมาย ตัวอย่างเช่น
                     ¾  รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. ๒๐๐๘ ของประเทศเอกวาดอร์ มีเนื้อหาเฉพาะในหมวดหนึ่งว่าด้วยสิทธิของธรรมชาติ
          (Rights of Nature) โดยบัญญัติรับรองว่าธรรมชาติมีสิทธิดังต่อไปนี้ 1

                         Right to exist, persist, maintain and regenerate its vital cycles.


                 1    From “Ecuador Adopts Rights of Nature in Constitution” by Global Alliance for the Rights of Nature, 2008.

          Retrieved from http://therightsofnature.org/ecuador-rights/.
                                                           30
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36