Page 199 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 199
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
และคดี Oneryildiz v. Turkey เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังคดี Yanomami v. Brazil เป็นระยะ
เวลาหลายสิบปี ซึ่งในระหว่างนั้น แวดวงนักวิชาการทั้งทางด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมและทางด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ได้มีการถกเถียงและน�าเสนอถึงความเกี่ยวพันระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นแล้ว
อนึ่ง แม้ในคดี Yanomami v. Brazil จะยังไม่มีการเชื่อมโยงประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ากับ
สิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่ต่อมาในรายงานว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศเอกวาดอร์ (Report on
the Situation of Human Rights in Ecuador) ซึ่งจัดท�าโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคอเมริกา ในปี
ค.ศ. ๑๙๙๗ ได้มีการกล่าวไว้ในรายงานอย่างชัดเจน ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิในชีวิตและคุณภาพของสิ่งแวดล้อม
โดยช่วงเวลาในการจัดท�ารายงานดังกล่าว คือ ปี ค.ศ. ๑๙๙๗ ก็อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการตัดสินในคดี Lopez-
Ostra v. Spain และ Oneryildiz v. Turkey ของภูมิภาคยุโรป จึงสามารถกล่าวได้ว่าพัฒนาการของสิทธิมนุษยชนและ
สิ่งแวดล้อมของภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคอเมริกา เป็นไปในทิศทางเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าว
• ภูมิภาคแอฟริกา
ส�าหรับภูมิภาคแอฟริกานั้น เนื่องจากตราสารด้านสิทธิมนุษยชนที่ส�าคัญของภูมิภาคแอฟริกา
ได้แก่ The Banjul Charter มีการบัญญัติรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่งเป็นการเฉพาะไว้ใน
เนื้อหาของกฎบัตรดังกล่าวโดยตรง จึงต่างกับกรณีของภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคอเมริกา เนื่องจากการท�าให้เสื่อมโทรมซึ่ง
สิ่งแวดล้อมสามารถเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ในตัวเอง ไม่มีความจ�าเป็นต้องอาศัยสิทธิมนุษยชนประเภทอื่นเพื่อเป็น
ฐานในการน�าเอากลไกทางสิทธิมนุษยชนมาใช้ในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
๖.๒.๑.๒ การอาศัยสิทธิในสิ่งแวดล้อม
ด้วยเหตุที่คุณภาพของสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ นักวิชาการบางกลุ่ม
จึงเริ่มสนับสนุนแนวคิดในการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นสิทธิมนุษยชนอีกประเภทหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะท�าให้
การคุ้มครองหรือจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยกลไกทางสิทธิมนุษยชนเป็นไปโดยง่าย ไม่จ�าต้องอาศัยการอ้างอิง
ผ่านสิทธิมนุษยชนประเภทอื่นและไม่จ�าต้องรอจนกระทั่งเกิดผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรงเสียก่อนจึงจะถือว่ามีการละเมิด
สิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคยุโรป ยังไม่มีมติเป็นที่ยุติว่าจะรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชน
ประเภทหนึ่ง กลไกทางสิทธิมนุษยชนในการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจึงยังคงต้องอาศัยสิทธิมนุษยชนประเภทอื่น
ที่มีอยู่แล้ว ต่างกับภูมิภาคอเมริกาที่ภายหลังได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมไว้เป็นการเฉพาะ โดย
บัญญัติไว้ในพิธีสารซานซัลวาดอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ อย่างไรก็ดี หากสังเกตถ้อยค�าของพิธีสารซานซัลวาดอร์
จะสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า ถ้อยค�าที่ใช้จะยังคงยึดโยงอยู่กับสิทธิในการมีชีวิต (Right to Life) โดยในพิธีสารซานซัลวาดอร์
ได้ใช้ค�าว่า Right to Live in a Good Environment หรือสิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ได้เป็นการเขียนออกมา
โดยตรงว่าเป็น Right to Environment หรือสิทธิในสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ แม้นักวิชาการบางกลุ่มจะมองว่า Right to Live in a Good Environment ก็คือ Right to
Environment ก็ตาม แต่การใช้ถ้อยค�าที่แตกต่างกันเช่นนี้ยังก่อให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าสิทธิตามพิธีสารซานซัลวาดอร์ เป็นเพียง
การยึดโยงเพิ่มเติมสิ่งแวดล้อมเข้าไปผนวกอยู่กับสิทธิในการมีชีวิตหรือไม่ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า พิธีสารซานซัลวาดอร์
198

