Page 198 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 198
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
สิทธิมนุษยชน เทียบเคียงได้กับกรณีข้อพิพาทในคดี Bordes and Temeharo v. France ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งสหประชาชาติเห็นว่าหากภยันตรายยังอยู่ห่างไกล กรณีดังกล่าวย่อมยังไม่มีการละเมิดสิทธิในชีวิตแต่อย่างใด
เห็นได้ว่าแนวทางในการตีความการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบริบททางสิ่งแวดล้อมของ
องค์กรสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคยุโรปเป็นไปอย่างเคร่งครัดและจะตัดสินว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเมื่อการกระท�า
ดังกล่าวส่งผลกระทบทางลบแก่สิทธิที่ได้รับการรับรองคุ้มครองตามอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปโดยตรงเท่านั้น คณะ
กรรมการสิทธิมนุษยชนและศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปไม่เคยมีแนวทางการตีความให้การท�าลายหรือก่อมลภาวะทาง
สิ่งแวดล้อมเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตหรือสิทธิในการเคารพชีวิตส่วนตัวและครอบครัวโดยทันที จนกว่าจะเกิดผล
กระทบโดยตรงต่อสิทธิมนุษยชนที่ได้รับรองดังกล่าวนั้น
• ภูมิภาคอเมริกา
ในเบื้องต้น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคอเมริกายังไม่มีการบัญญัติรับรองสิทธิ
ในสิ่งแวดล้อมไว้เป็นการเฉพาะเช่นเดียวกับภูมิภาคยุโรป ความเกี่ยวพันระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมจึงเป็นไป
โดยอาศัยสิทธิมนุษยชนที่มีอยู่แล้วเป็นฐานในการน�าเอากลไกสิทธิมนุษยชนมาใช้จัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
อย่างไรก็ดี พัฒนาการขององค์กรสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคอเมริกาในการน�าเอาสิทธิมนุษยชน
มาใช้ในบริบทของสิ่งแวดล้อมมีข้อน่าสังเกตบางประการ กล่าวคือ ในคดี Yanomami v. Brazil เป็นเรื่องการรุกล�้า
พื้นที่ธรรมชาติ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ตัดสินว่ามีการละเมิดสิทธิในชีวิตของชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว
เนื่องจากการรุกล�้าพื้นที่ดังกล่าวน�าพาเอาโรคติดต่อมายังชนพื้นเมือง ทั้งนี้ แม้ในคดีนี้จะมีการอาศัยกลไกทางสิทธิมนุษยชน
มาใช้จัดการกับปัญหาการรุกล�้าพื้นที่ธรรมชาติอันเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่ค�าวินิจฉัยของคณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนไม่ได้กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างการท�าลายสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ออกมาอย่างชัดแจ้ง
โดยได้กล่าวถึงสาเหตุของการละเมิดสิทธิในชีวิตว่ามีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลที่รัฐปล่อยให้รุกล�้าพื้นที่ธรรมชาติน�าพาเอา
โรคติดต่อเข้ามา ท�าให้สามารถพิจารณาในมุมกลับกันได้ว่า หากมีการรุกล�้าพื้นที่ธรรมชาติแต่กลุ่มบุคคลที่รุกล�้าไม่ได้มีโรค
หรือเป็นพาหะน�าโรคใด การที่รัฐปล่อยให้กลุ่มบุคคลรุกล�้าพื้นที่ธรรมชาติดังกล่าวอาจไม่เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิต
ข้อเท็จจริงและค�าวินิจฉัยในคดี Yanomami v. Brazil ต่างจากคดี Oneryildiz v. Turkey ของ
ภูมิภาคยุโรปที่มีการกล่าวถึงสาเหตุของการละเมิดสิทธิในชีวิต ว่ามาจากการก่อมลพิษและการที่รัฐไม่ด�าเนินมาตรการใด
เพื่อป้องกันและรับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้น อันเป็นการเชื่อมโยงการกระท�าและมาตรการทางสิ่งแวดล้อมเข้ากับ
ความเสียหายต่อชีวิตมนุษย์โดยตรง และคดี Lopez-Ostra v. Spain ซึ่งศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้เชื่อมโยงการ
ก่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่มีความร้ายแรงเข้ากับการละเมิดสิทธิในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว
อย่างไรก็ดี การที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคอเมริกาในคดี Yanomami v. Brazil
ไม่ได้มีการเชื่อมโยงประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ากับสิทธิในชีวิตโดยตรงดังเช่นศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปนั้น มิได้
หมายความว่าพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอเมริกาจะล่าช้ากว่าภูมิภาคยุโรป เนื่องจาก
หากพิจารณาถึงช่วงเวลาของข้อพิพาทแล้วจะเห็นได้ว่า คดี Yanomami v. Brazil เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๘๙ ซึ่งในขณะนั้น
แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมยังเป็นสิ่งใหม่ ในขณะที่คดี Lopez-Ostra v. Spain เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๔
197

