Page 204 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 204
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ในคดี SERAC and Another v. Nigeria คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้พิจารณาถึงปัญหาความเสื่อมโทรมทาง
สิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่สุขภาพของประชาชนแล้วจึงได้มีความเห็นว่าการรักษาความสมดุลระหว่างสิทธิ
ในสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะต้องยอมรับผลกระทบทางลบที่เกิดจากการพัฒนาด้าน
เศรษฐกิจเสมอไป ค�าวินิจฉัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าแม้บริษัทน�้ามันจะสามารถสร้างผลก�าไรทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ
และเป็นปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศก็ตาม แต่เมื่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากบริษัท
น�้ามันดังกล่าวมีความรุนแรงและขัดต่อมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ รัฐก็ไม่สามารถอ้างประเด็นด้านการพัฒนา
เพื่อที่จะเพิกเฉยต่อกิจการดังกล่าวได้
แนวทางการชั่งน�้าหนักเพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและประเด็นด้านการพัฒนา
หรือสิทธิประการอื่น ทั้งในค�าตัดสินข้อพิพาททางสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคแอฟริกา สะท้อนให้เห็นถึง
พัฒนาการของสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในประการที่ว่า ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับความต้องการ
ด้านการพัฒนาและการคุ้มครองสิทธิประการอื่น โดยในหลายคดี การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมก็มีน�้าหนักหรือความจ�าเป็น
มากกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจหรือการคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชนบางประการ แต่ก็มิได้หมายความการคุ้มครอง
สิ่งแวดล้อมจะมีความส�าคัญมากกว่าการพัฒนาหรือการคุ้มครองสิทธิประการอื่นเสมอไป ในหลายคดี การก่อมลภาวะใน
ระดับที่พอรับได้ก็ยังไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด หรือการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมก็ยังคงมีข้อจ�ากัดที่จะต้อง
เคารพและไม่เบียดเบียนการบังคับใช้สิทธิมนุษยชนประเภทอื่นเกินสมควรเช่นกัน
เมื่อพิจารณาแนวตัดสินขององค์กรทางสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคแอฟริกาแล้ว เห็นได้ว่า
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมไม่ได้อยู่เหนือหรือด้อยกว่าประเด็นด้านการพัฒนาหรือสิทธิประการอื่น การตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับ
สิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมจึงจ�าต้องรักษาดุลภาพระหว่างการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและประเด็นทางสิทธิมนุษยชนด้าน
อื่น ๆ
๖.๒.๓ บทบาทและหน้าที่เชิงรุกของรัฐในการจัดการกับปัญหาสิ่งแวดล้อม
แม้ในแต่ละภูมิภาคจะมีการน�าเอากลไกทางสิทธิมนุษยชนมาใช้กับการจัดการสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่
ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่ง คือ ขอบเขตของสิทธิที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ รัฐจะมีเพียงหน้าที่ในเชิงงดเว้น
ไม่กระท�าการอันเป็นการละเมิดสิทธิดังกล่าวเท่านั้น หรือรัฐจะต้องมีหน้าที่ในการจัดเตรียมมาตรการเพื่อส่งเสริมและ
คุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมอันเป็นบทบาทเชิงรุกด้วยหรือไม่
ในคดี Oneryildiz v. Turkey ของภูมิภาคยุโรป สิทธิมนุษยชนที่น�ามากล่าวอ้างเพื่อใช้ในการระงับ
ข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนี้คือสิทธิในการมีชีวิต ในการนี้ ศาลได้กล่าวถึงหน้าที่ของรัฐไว้ด้วยว่าไม่จ�ากัดเพียงหน้าที่
เชิงลบ (Negative Obligation) เท่านั้น แต่รัฐยังต้องมีหน้าที่เชิงบวก (Positive Obligation) ในการด�าเนินมาตรการ
เพื่อปกป้องคุ้มครองชีวิตของประชาชนด้วย ซึ่งในที่นี้ ได้แก่ การเข้าไปก�ากับดูแลกิจการที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ด้วย
ทั้งนี้ แม้หน้าที่เชิงบวกดังกล่าวจะผนวกอยู่กับสิทธิในชีวิต โดยที่ศาลไม่ได้กล่าวควบคู่ไปกับประเด็นสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ก็ตาม แต่ก็ย่อมสะท้อนให้เห็นแนวทางในการตีความหน้าที่ของรัฐที่มีต่อสิทธิมนุษยชนภายใต้บริบทของข้อพิพาททาง
สิ่งแวดล้อม ว่าไม่จ�ากัดแต่เพียงหน้าที่ในการงดเว้นการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่รัฐยังต้องมี
มาตรการในการป้องกันอันเป็นหน้าที่เชิงบวกหรือบทบาทเชิงรุกด้วย
เช่นเดียวกันกับในคดี Yanomami v. Brazil ของภูมิภาคอเมริกาที่กล่าวถึงหน้าที่ของรัฐไว้ในลักษณะ
เดียวกันกับในคดี Oneryildiz v. Turkey กล่าวคือ รัฐมีหน้าที่ต้องป้องกันความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอันจะส่งผลกระทบ
203

