Page 193 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 193
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
the Dominican Republic, El Salvador, Guatemala, Honduras, Nicaragua, and the United States of
America on Environmental Cooperation ที่สหรัฐอเมริกาได้ท�าความตกลงไว้กับประเทศในอเมริกาใต้หลายประเทศ
และสหรัฐอเมริกายอมรับเพียงสิทธิเชิงกระบวนการเท่านั้นที่จะยอมรับบังคับให้ โดยยอมรับว่าสิทธิเชิงกระบวนการจะก่อ
ให้เกิดการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่ดีตามมา โดยไม่จ�าเป็นต้องคุ้มครองสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด
จึงให้ระบุไว้ในมาตรา ๑๑ แห่งความตกลงดังกล่าวว่า ก�าหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิเชิงกระบวนการในการคุ้มครองและ
ปรับใช้สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการไม่ยอมรับว่าสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกต ๒ ประการที่มีนัยส�าคัญส�าหรับการบัญญัติถ้อยค�าของตราสารระหว่าง
ประเทศในระดับภูมิภาคอเมริกา
ประการแรก สิทธิที่ตราสารของภูมิภาครับรองไว้ใช้ถ้อยค�าว่า “สิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อม
ที่ดี (Right to Live in Healthy Environment)” ซึ่งมีนัยส�าคัญว่าสิทธินี้มิใช่สิทธิในสิ่งแวดล้อมโดยเอกเทศ หากแต่มี
การเจือปนของสิทธิในชีวิต (Right to Life) ก็ดี สิทธิในสุขภาพ (Right to Health) ก็ดีเข้าไปร่วมพิจารณาด้วย จนท�าให้
วิเคราะห์ได้ว่า สิทธิที่ตราสารของภูมิภาคกล่าวถึง คือ การน�าสิทธิที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเสียมากกว่า
ที่จะระบุสิทธิในสิ่งแวดล้อมให้เป็นเอกเทศแยกออกจากสิทธิอื่น ๆ
ประการที่สอง มาตรา ๑๑ แห่ง Additional Protocol to the American Convention on
Human Rights in the Area of Economics, Social and Cultural Rights บัญญัติว่า “Everyone shall have the
right to live in a healthy environment and to have access to basic public services” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ภูมิภาคอเมริกานั้นยอมรับว่าการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิเชิงปัจเจกชน เนื่องจากใช้ถ้อยค�าว่า “ทุก ๆ คนมีสิทธิ” มิใช่
กลุ่มของประชาชน (Peoples) มีสิทธิ ดังเช่นสิทธิในการก�าหนดเจตจ�านงของตนเอง หรือ Right to Self-Determination
โดยสรุป ภูมิภาคอเมริกามีพัฒนาการเกี่ยวกับสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้ากว่าภูมิภาคยุโรป
ในระดับหนึ่ง เนื่องจากมีความพยายามน�าการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมไปบัญญัติไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระดับ
ภูมิภาค แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แต่สิทธิที่บัญญัติไว้กลับไม่ใช่สิทธิ
ในสิ่งแวดล้อมโดยเอกเทศ เพราะเป็นการน�าเอาสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ มาผสมปะปนกันไป ขณะที่ภูมิภาคยุโรป Aarhus
Convention นั้นเป็นการยืมถ้อยค�าจากปฏิญญาสตอกโฮล์ม ปี ค.ศ. ๑๙๗๒ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้ใน
การคุ้มครองสิทธิซึ่งถือว่ามิใช่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ยังคงถูกคัดค้านจากสหรัฐอเมริกาที่มีอิทธิพลสูงสุดในภูมิภาคนี้ จึงท�าให้
การบังคับใช้สิทธิในสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นได้ไม่ดีนัก
๖.๑.๔ การน�าหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมไปปรับใช้ใน
ภูมิภาคแอฟริกา
๖.๑.๔.๑ ตราสารสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
(๑) กฎบัตรสิทธิของมนุษย์และประชาชนแห่งแอฟริกัน (African Charter on Human and
Peoples’ Rights)
มาตรา ๒๔ ก�าหนดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนา
มาตรา ๒๑ ทุกคนมีอิสรภาพในการใช้ความมั่งคั่งและทรัพยากรทางธรรมชาติ
มาตรา ๘ สิทธิในการมีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา และสวมเครื่องแต่งกายทางศาสนา
มาตรา ๑๖ สิทธิในสุขภาพร่างกาย
มาตรา ๗ สิทธิในการได้รับการรับฟังความเห็น
192

