Page 158 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 158
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๗๔๙-๗๖๔/๒๕๕๗: กรณีเหมืองถ่านหินแม่เมาะไม่ปฏิบัติตามมาตรการ
ที่ก�าหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๖ ส�านวน ๓๑๘ คน ฟ้องมีสาระส�าคัญสรุปได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ (การไฟฟ้า
ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ถือประทานบัตรการท�าเหมืองแร่ถ่านหิน ในพื้นที่อ�าเภอแม่เมาะ จังหวัดล�าปาง
ละเลยมิได้ปฏิบัติตามวิธีการท�าเหมืองแร่ และเงื่อนไขท้ายประทานบัตร รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิธีการท�าเหมืองแร่
แผนผังโครงการ และเงื่อนไขท้ายประทานบัตรหลายประการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ (อธิบดีกรม
อุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ก่อให้เกิดมลพิษและท�าให้ผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายต่อชีวิต สุขภาพอนามัย
และทรัพย์สินเสียหาย แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ผู้ถูกฟ้อง
คดีที่ ๓ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ (อุตสาหกรรมจังหวัดล�าปาง) ซึ่งมีอ�านาจหน้าที่ในการก�ากับดูแลการท�าเหมืองแร่ของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ กลับเพิกเฉยไม่ด�าเนินการตามอ�านาจหน้าที่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ (กรมควบคุมมลพิษ) และผู้ถูกฟ้อง
คดีที่ ๖ (อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ) ไม่ด�าเนินการตามอ�านาจหน้าที่ในการควบคุมมลพิษ รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจาก
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑๑ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นไม่ได้มีค�าสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่
๗ ยุติหรือระงับการก่อเหตุร�าคาญ ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๖ ส�านวนมีค�าขอให้ (๑) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง ๑๑ ปฏิบัติหน้าที่ตาม
กฎหมาย (๒) ให้เพิกถอนประทานบัตรของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ (๓) ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๘ ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑๑ แก้ไขฟื้นฟู
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กลับฟื้นคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ หยุดการกระท�าที่ก่อ
ให้เกิดมลพิษ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ เรียกค่าเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ และ (๔) ให้ผู้ถูก
ฟ้องคดีที่ ๗ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีพร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน
และแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับเดิมต่อไป โดยพิจารณาแต่ละมาตรการเป็นกรณี ๆ ไป ดังนี้ กรณีผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๗ ไม่ขนดินไปเก็บกองนอกเขตประทานบัตร เห็นว่าแผนผังโครงการท�าเหมืองแร่ถ่านหินโดยวิธีเหมืองหาบไม่ได้
ก�าหนดให้ต้องขนดินไปกองเก็บนอกเขตประทานบัตรตลอดไปในทุกกรณี แต่สามารถน�าหน้าดินบางส่วนมาถมกลับใน
ขุมเหมืองเก่าได้ ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้ท�าการขนดินไปกองเป็นคันดินบริเวณขอบบ่อเหมืองด้านทิศใต้
จึงไม่เป็นการกระท�าที่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามแผนผังโครงการท�าเหมืองถ่านหิน ข้อ ๓ และไม่เป็นการละเลย
ต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก�าหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ มิได้รักษาความชื้นไว้ระหว่างร้อยละ ๑.๕ ในขณะ
ที่ท�าการโม่ดินและถ่านหินขนาดใหญ่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ รักษาระดับค่าเฉลี่ยความชื้นของถ่านหิน
ลิกไนต์สูงถึงร้อยละ ๑.๕ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ รักษาความชื้นของดินและถ่านได้ดีกว่าที่ก�าหนดไว้ในมาตรการ
และไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก�าหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ มิได้ท�ารายงานการตรวจ
ประเมินสิ่งแวดล้อม (Environmental Audit) ทุก ๒ ปี เสนอให้ สผ. ทราบตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผล
กระทบสิ่งแวดล้อมที่ก�าหนดโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ได้จัดท�ารายงานการตรวจประเมินสิ่งแวดล้อม (Environmental
Audit) เสนอต่อ สผ. แล้ว ศาลไม่จ�าต้องออกค�าบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอีกต่อไป
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๖ ส�านวน ฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก�าหนดให้ต้องปฏิบัติหรือ
157

