Page 159 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 159

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ







            ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้
            ในรายงานฯ และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ก�าหนดโดย สผ. ท�าให้สิ่งแวดล้อม ตลอดจนชีวิต

            ร่างกาย สุขภาพอนามัย และทรัพย์สินเสียหาย และผู้ฟ้องคดีบางรายมีค�าขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ชดใช้



                         ค่าสินไหมทดแทนเสียหายนั้น เป็นการฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ กระท�าละเมิดเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดี
            ดังกล่าวได้รับความเสียหาย ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมิใช่กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่
            ๗ ในฐานะเจ้าของโรงไฟฟ้าแม่เมาะซึ่งเป็นแหล่งก�าเนิดมลพิษต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย

            จากการที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะก่อให้เกิดการแพร่กระจายของมลพิษอันเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีดังกล่าวได้รับอันตรายแก่ชีวิต
            ร่างกาย สุขภาพอนามัย หรือเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวเสียหาย ตามมาตรา ๙๖ แห่งพระราชบัญญัติ

            ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งกรณีนี้ ผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องเสนอพยานหลักฐานต่อ
            ศาลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ตนกล่าวอ้างในเบื้องต้น ตามข้อ ๖๔ วรรคหนึ่ง ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
            ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ เมื่อผู้ฟ้องคดีดังกล่าวไม่สามารถเสนอพยานหลัก

            ฐานต่อศาลเพื่อพิสูจน์ว่าความเสียหายที่ได้รับเป็นผลมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย
            ก�าหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระ
            ทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าว กรณีไม่อาจถือได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ กระท�าละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๖ ส�านวน อันจะมีผล

            ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีบางรายที่มีค�าขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ชดใช้ค่าสินไหม
            ทดแทน



                         ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย
            ก�าหนดให้ต้องปฏิบัติในการควบคุมการท�าเหมืองและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม

            ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ หรือไม่ กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เห็นว่า การใช้อ�านาจในการออกค�าสั่งเพิกถอนประทานบัตรการ
            ท�าเหมืองหรือไม่ เป็นอ�านาจดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๑๓๘ แห่งพระราชบัญญัติแร่
            พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยการใช้ดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในเรื่องนี้จะต้องค�านึงถึงเหตุผล ความจ�าเป็น รวมถึงข้อดีและข้อเสีย

            ที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนหรือประโยชน์สาธารณะ หากมีการสั่งเพิกถอนประทานบัตรดังกล่าว เมื่อการใช้อ�านาจ
            เพิกถอนประทานบัตรย่อมส่งผลกระทบต่อการผลิตกระแสไฟฟ้า อันจะเกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะและ

            ประชาชนมากกว่าผลดีที่จะได้รับ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่มีความจ�าเป็นที่จะต้องเพิกถอนประทานบัตรของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗
            ดังนั้นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ออกค�าสั่งเพิกถอนประทานบัตรจึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก�าหนดให้
            ต้องปฏิบัติ ส�าหรับกรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่ได้ทราบถึงการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ก�าหนดไว้ในการออกประทานบัตรของ

            ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาด�าเนินคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ตามมาตรา ๑๓๘ แห่ง
            พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และควบคุมดูแลมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ละเลยต่อหน้าที่ในการปฏิบัติตามมาตรการ
            ป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อไป การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ได้ด�าเนินคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ตามอ�านาจ

            หน้าที่ดังกล่าว จึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายก�าหนดให้ต้องปฏิบัติ









                                                           158
   154   155   156   157   158   159   160   161   162   163   164