Page 160 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 160
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้ค�าพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ปฏิบัติตาม
มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ดังนี้ ๑) ให้ท�าการติดตั้งม่านน�้าเพื่อเป็นการลดฝุ่นละอองใน
บรรยากาศ มีความยาว ๘๐๐ เมตร ระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศตะวันออกกับบ้านหัวฝาย และระหว่างที่ทิ้งดินด้านทิศ
ตะวันตกกับหมู่บ้านทางทิศใต้ ๒) ให้จัดตั้งคณะท�างานระดับท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาในการอพยพ
ราษฎรที่ได้รับผลกระทบที่อาจน�าไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินและมีความประสงค์จะอพยพในการอพยพ
หมู่บ้านออกนอกรัศมีผลกระทบ ๕ กิโลเมตร ๓) ให้ฟื้นฟูขุมเหมืองให้ใกล้เคียงกับสภาพเดิมตามธรรมชาติ โดยการ
ถมดินกลับในบ่อเหมืองให้มากที่สุดและให้ปลูกป่าทดแทน เฉพาะในส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ น�าพื้นที่ที่ต้องฟื้นฟูขุม
เหมืองไปท�าเป็นสวนพฤกษชาติและสนามกอล์ฟ ๔) ให้น�าพืชที่ปลูกใน wetland ไปก�าจัด และปลูกเสริมทุก ๆ ๑๘
เดือน และต้องท�าการขุดลอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางการไหลของน�้าใน wetland ๕) ให้ท�าการขนส่งเปลือกดิน โดยใช้
ระบบสายพานที่มีการติดตั้งระบบสเปรย์น�้าตามแนวสายพาน ให้วางแผนจุดปล่อยดิน โดยให้ต�าแหน่งที่ปล่อยดินไม่
อยู่ในต�าแหน่งต้นลมที่พัดผ่านไปยังชุมชนที่อยู่โดยรอบ ให้ก�าหนดพื้นที่ Buffer Zone ระยะจุดปล่อยดินกับชุมชน
ให้เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า ๕๐ เมตร และควรจัดท�าเป็น Bunker ให้จุดปล่อยดินอยู่ต�่ากว่าความสูงของ Bunker
ในการปล่อยดินลงที่เก็บกองดินนั้นจะต้องก�าหนดเป็นตารางที่แน่นอน โดยใช้ฤดูเป็นเกณฑ์ในการตัดสินต�าแหน่งที่
จะต้องห่างจากชุมชนมากที่สุด และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ตรวจสอบก�ากับดูแลการประกอบกิจการของผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๗ ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการออกประทานบัตรและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ
เหมืองลิกไนต์แม่เมาะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๗ ไม่ปฏิบัติตาม ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ด�าเนินการตาม
อ�านาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๓๘ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ และผู้ถูก
ฟ้องคดีที่ ๗ ด�าเนินการตามค�าพิพากษา ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีค�าพิพากษา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม
ค�าพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
๕.๒.๔ ค�าพิพากษาของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับคดีสิ่งแวดล้อม
คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๔๗/๒๕๔๗ ศาลอุทธรณ์ ภาค ๔: เรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีโรงงาน
ก่อมลพิษท�าให้ล�าน�้าพองเน่าและเกิดผลกระทบต่อชุมชน
คดีนี้ โจทก์ที่ ๑ กับพวกรวม ๗ คน ยื่นฟ้องบริษัท ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จ�ากัด (มหาชน) เป็น
จ�าเลย โดยจ�าเลยประกอบกิจการโรงงานท�าเยื่อกระดาษ และปล่อยน�้าเสียที่เกิดจากการผลิตเยื่อกระดาษลงสู่ล�าห้วยโจด
อันเป็นแหล่งน�้าธรรมชาติ และน�้าเสียได้ไหลลงสู่ล�าน�้าพอง ท�าให้ล�าน�้าพองเน่าเสียด้วยความประมาทเลินเล่อหรือจงใจ
ของจ�าเลยและลูกจ้างของจ�าเลยหลายคราวต่อเนื่องกัน เป็นเหตุให้ปลาตามธรรมชาติในล�าน�้าพอง และปลาที่โจทก์
เลี้ยงไว้ในกระชังตายจ�านวนมาก เนื่องจากน�้าขาดออกซิเจน โจทก์ทั้งเจ็ดซื้อปลามาเลี้ยงในกระชังบริเวณล�าน�้าพองกระชัง
ละ ๒,๐๐๐ ตัว เลี้ยงประมาณ ๓ – ๔ เดือน สามารถขายได้กิโลกรัมละ ๔๐ บาท เมื่อเกิดเหตุล�าน�้าพองเน่า ปลาของ
โจทก์ที่ ๑ ตาย ๑๖ กระชัง โจทก์ที่ ๒ ตาย ๑๑ กระชัง โจทก์ที่ ๓ ตาย ๓ กระชัง โจทก์ที่ ๔ ตาย ๘.๗๕ กระชัง โจทก์
ที่ ๕ ตาย ๑๘ กระชัง โจทก์ที่ ๖ ตาย ๑๑ กระชัง และโจทก์ที่ ๗ ตาย ๖.๒๓ กระชัง คิดเป็นเงินจ�านวน ๒,๐๕๕,๑๗๘
บาท โจทก์ทั้งเจ็ดได้เจรจากับจ�าเลยหลายครั้ง แต่ตกลงกันไม่ได้ ท�าให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจ�าเลยชดใช้เงิน
แก่โจทก์แต่ละรายพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินแต่ละจ�านวน
159

