Page 162 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 162
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จ�าเลยที่ ๑ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ
อุทยานแห่งชาติ และแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ในการด�าเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จ�าเลยที่ ๒ เป็นกรม
สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีอ�านาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และกฎหมายอื่น
ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องคุ้มครองดูแลรักษาพื้นที่ที่ได้ถูกก�าหนดให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมเพื่อ
สงวนไว้ให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชนอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของสาธารณชน จ�าเลยที่ ๓ เป็น
ผู้มีอ�านาจหน้าที่กระท�าการแทนและเป็นผู้แทนตามกฎหมายของจ�าเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยมีอ�านาจหน้าที่คุ้มครองดูแล
และบ�ารุงรักษาพื้นที่อ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี ให้คงอยู่ในสภาพเดิมตามธรรมชาติตามกฎหมาย จ�าเลยที่ ๕ เป็นนิติบุคคล
ตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีจ�าเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนและผู้รับมอบอ�านาจ
จ�าเลยที่ ๓ ได้อนุมัติให้จ�าเลยที่ ๔ รวมทั้งบริษัท ถ่ายท�าภาพยนตร์บีช โปรดักชั่น จ�ากัด ซึ่งเกี่ยวข้อง
กับการถ่ายท�าภาพยนตร์เรื่องเดอะบีช เข้าไปปรับปรุงตกแต่งเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายหาดอ่าวมาหยา โดยใช้รถแบ็กโฮ
หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ขุดสร้าง แผ้วถาง ปรับ ท�าการให้เป็นอันตราย ท�าลายพื้นที่สันทรายในบริเวณหาดมาหยา ขนย้าย
พืชพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติออกไป เพื่อน�าต้นมะพร้าวเข้าไปปลูก อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมเดิม เพื่อประโยชน์ในการถ่ายท�าภาพยนตร์ของจ�าเลยที่ ๔ และที่ ๕ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติและเป็นพื้นที่
คุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจังหวัดกระบี่ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ ซึ่งก�าหนดความรับผิดไว้ในมาตรา ๙๗
โจทก์อ้างว่าการกระท�าของจ�าเลยทั้งห้าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเป็นการใช้สิทธิ
ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๕๙ และอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหาย
เนื่องจากถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมาย และมีอ�านาจฟ้องคดีได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
มาตรา ๕๖ วรรคท้าย และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ค�าสั่งที่อนุญาตให้ถ่ายท�าภาพยนตร์บริเวณ
อ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี เป็นโมฆะ เพราะเป็นค�าสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จ�าเลยวางเงินประกันความเสียหายไม่น้อย
กว่า ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าจ�าเลยไม่วางเงินประกัน ให้ศาลมีค�าสั่งห้ามกระท�าการใด ๆ เพื่อปรับปรุงตกแต่งบริเวณ
อ่าวมาหยา ให้เพิกถอนใบอนุญาตการถ่ายท�าภาพยนตร์ในบริเวณดังกล่าว และให้ปรับปรุงแก้ไขหาดมาหยาให้กลับคืน
สภาพเดิมตามธรรมชาติโดยใช้ค่าใช้จ่ายของจ�าเลยที่ ๔ และที่ ๕
ศาลชั้นต้น มีค�าสั่งงดสืบพยานโจทก์ทั้งสิบเก้าและพยานจ�าเลยทั้งห้า และพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ทั้งสิบเก้า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกค�าสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยาน และค�าพิพากษาของศาลชั้นต้น แล้วมีค�าสั่งให้ศาล
ชั้นต้นด�าเนินกระบวนพิจารณาคดีในประเด็นข้อพิพาทตามค�าขอท้ายฟ้องในข้อ ๔ ของโจทก์ทั้งสิบเก้าต่อไป แล้วจึงมี
ค�าสั่งหรือค�าพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๓ ถึงที่ ๑๙ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามค�าพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ โดยศาลฎีกาได้ให้เหตุผลว่า: -
161

