Page 80 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 80
การพัฒนาทัศนคติและความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายกับสถานการณ์พิเศษของ ๓ จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ต้องตระหนักถึงสภาพความเป็นมาของปัญหาทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และภาษา ของ
คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และการฝึกอบรมถึงยุทธศาสตร์สันติวิธี
กระบวนการยุติธรรมหลังมีการรัฐประหาร นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ คสช. ได้มี
ประกาศ คสช. ฉบับที่ ๓๗/๒๕๕๗ เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ฉบับที่ ๓๘/๒๕๕๗ เรื่อง
คดีที่ประกอบด้วยการกระท�าหลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอ�านาจศาลทหาร และฉบับที่ ๕๐/๒๕๕๗ เรื่อง ให้ศาลทหาร
มีอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ซึ่งส่งผลให้พลเรือนต้อง
อยู่ในอ�านาจการพิจารณาของศาลทหารในการกระท�าความผิดดังต่อไปนี้ (๑) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี
รัชทายาท และผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ (๒) ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร (๓) ความผิดตาม
ประกาศหรือค�าสั่ง คสช. (๔) บรรดาความผิดที่อยู่ในอ�านาจศาลทหารพิจารณาพิพากษาตามค�าสั่ง คสช. ฉบับที่ ๓๗/๒๕๕๗
ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๗ และค�าสั่ง คสช. ฉบับอื่น (๕) คดีที่มีข้อหาว่ากระท�าความผิดฐานมีหรือใช้อาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
พุทธศักราช ๒๔๙๐ อีกทั้ง คสช. ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ –
๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ส่งผลให้การพิจารณาของศาลทหารในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นศาลทหารในเวลาไม่ปกติ จึงไม่สามารถ
ที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาได้ แม้ว่าต่อมาได้มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว แต่คดีที่เกิดขึ้นในช่วงที่มี
การประกาศกฎอัยการศึก แล้วการพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด ถือเป็นคดีที่เกิดในเวลาไม่ปกติยังคงต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา
การเยียวยา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๕ มาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗
ได้คุ้มครองบุคคลที่ต้องค�าพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษในความผิดอาญา และภายหลังจากนั้นมีการกลับค�าพิพากษาที่ให้ลงโทษ
บุคคลนั้น หรือบุคคลนั้นได้รับอภัยโทษต้องได้รับการชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่มาของพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิในการได้รับความช่วยเหลือ
จากรัฐของบุคคล ซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระท�าความผิดอาญาของผู้อื่นโดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การกระท�าความผิดนั้น และไม่มีโอกาสได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่น รวมทั้งการรับรองสิทธิในการรับ
ค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย ในกรณีของบุคคลซึ่งตกเป็นจ�าเลยในคดีอาญาและถูกด�าเนินคดีโดยพนักงานอัยการและถูกคุมขัง สถานการณ์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ระหว่างการพิจารณาคดี หากปรากฏตามค�าพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าจ�าเลยมิได้เป็นผู้กระท�า
ความผิด หรือการกระท�าของจ�าเลยไม่เป็นความผิด ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่บัญญัติออกมาเพื่อการเยียวยาทั้งผู้ที่เสียหายจากการ
กระท�าความผิดอาญาและจ�าเลยที่ได้รับความเสียหายจากความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม การเยียวยา
ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จ�าเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ยังไม่ครอบคลุม
ความเสียหายในหลายกรณี เช่น กรณีการถูกคุมขังในระหว่างสอบสวน กรณีที่ศาลยกฟ้องเนื่องจากยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ให้แก่จ�าเลย กรณีการควบคุมตัวโดยไม่ชอบแล้วศาลสั่งให้ปล่อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๙๐ บทที่
การถูกคุมขังเกินกว่าโทษตามค�าพิพากษา เป็นต้น และยังมีปัญหาเรื่องความล่าช้าในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ๓
ต่อมา ในปี ๒๕๕๘ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลบังคับใช้วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๙
โดยก�าหนดให้ความช่วยเหลือดังนี้ (๑) ความช่วยเหลือในการด�าเนินคดี (๒) การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจ�าเลย (๓)
การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน (๔) การให้ความรู้ทางกฎหมาย
แก่ประชาชน การมีกองทุนยุติธรรม ท�าให้ประชาชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้สะดวก
รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังได้ให้ความส�าคัญกับการเยียวยาความเสียหายผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่งถือว่า
เป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อประชาชนฉบับหนึ่ง
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ 79 ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙