Page 243 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 243

ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องชี้แจงต่อรัฐสภาให้ชัดแจ้งว่าจะ
        ด�าเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดท�ารายงาน

        แสดงผลการด�าเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครั้ง
                 มาตรา ๗๖ คณะรัฐมนตรีต้องจัดท�าแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดงมาตรการและรายละเอียดของแนวทาง
        ในการปฏิบัติราชการในแต่ละปีของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
                 ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จ�าเป็นต่อการด�าเนินการตามนโยบาย
        และแผนการบริหารราชการแผ่นดิน



          ๒.  สิทธิที่ได้รับการรับรองจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทย
                 เป็นภาคี



        ๒.๑ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant
        on Civil and Political Rights : ICCPR)
                 ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี โดยการภาคยานุวัติและมีผลใชับังคับกับประเทศไทยใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๐
        โดยมีการท�าค�าแถลงตีความ ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) เรื่องการก�าหนดเจตจ�านงของตนเอง โดยมิได้หมายรวมถึงการแบ่งแยก

        ดินแดนหรือเอกภาพทางการเมือง (ข้อ ๑ วรรคหนึ่ง) และ (๒) การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อท�าสงคราม (ข้อ ๒๐ วรรคหนึ่ง)


                 เนื้อหาของกติกาฉบับนี้มี ๖ ส่วน ๕๓ ข้อ ๓ ส่วนแรก (ข้อ ๑-๒๗) เป็นสารบัญญัติว่าด้วยสิทธิต่าง ๆ ส่วนที่ ๔ (ข้อ

        ๒๘-๔๕) ว่าด้วยคณะกรรมการและการเสนอรายงาน (ข้อ ๔๐) การไกล่เกลี่ยข้อร้องเรียนระหว่างประเทศเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติ
        ตามบทบัญญัติของกติกา ส่วนที่ ๕ (ข้อ ๔๖-๔๗) ว่าด้วยการตีความและส่วนที่ ๖ (ข้อ ๔๘-๕๓) ว่าด้วยการลงนามเข้าเป็นภาคี
        การมีผลใช้บังคับการแก้ไขการเก็บรักษาต้นฉบับทั้ง ๕ ภาษา ส่วนที่เป็นสารบัญญัติ ๒๗ ข้อก�าหนดสิทธิต่าง ๆ ทั้งในส่วนที่เป็น
        สิทธิของประชาชน ซึ่งว่าด้วยการก�าหนดสิทธิของตนเองของประชาชนในเรื่องการเมือง และสามารถด�าเนินการอย่างเสรีในการ
        จัดการทรัพยากรและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตน และการประกันสิทธิของรัฐภาคี ที่จะต้องส่งเสริมให้บังเกิดผล

        ตามสิทธิดังกล่าว โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ สิทธิเหล่านี้รวมถึงสิทธิที่จะมีชีวิตและการยกเลิกโทษประหารชีวิต การห้ามการ
        ทรมาน/ลงโทษทารุณโหดร้าย การมีทาสเสรีภาพในความปลอดภัยของร่างกาย ห้ามการจับกุมโดยมิได้ท�าผิดกฎหมาย การปฏิบัติ
        ต่อผู้ถูกจับกุมด้วยมนุษยธรรม เสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัย ความเสมอภาคในด้านกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทางศาล

        สิทธิในสถานะบุคคล สิทธิในความเป็นส่วนตัว สิทธิเสรีภาพทางความคิดและศาสนา การห้ามการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการสงคราม
        และการเกลียดชังเผ่าพันธุ์ สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ การรวมตัวเป็นสมาคม การคุ้มครองครอบครัวและการสมรส สิทธิของเด็ก
        ในด้านการคุ้มครอง การมีทะเบียนเกิดและสัญชาติ การมีสิทธิมีส่วนในการบริหารบ้านเมืองและสิทธิของชนกลุ่มน้อย


        ๒.๒ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่
        ย�่ายีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading

        Treatment or Punishment:CAT)
                 อนุสัญญามีวัตถุประสงค์เพื่อระงับยับยั้งการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยก�าหนดให้รัฐภาคีแต่ละรัฐต้องด�าเนิน

        มาตรการต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระท�าการทรมานในอาณาเขตใดซึ่งอยู่ภายใต้เขตอ�านาจของตน และ
        ไม่มีพฤติการณ์พิเศษใดไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม หรือสภาพคุกคามที่เกิดจากสงคราม หรือสภาวะฉุกเฉินสาธารณะอื่นใด
        มาเป็นข้ออ้างส�าหรับการทรมานได้ โดยรัฐภาคีจะต้องประกันว่าการกระท�าทรมานทั้งปวงเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา
        ของตน และก�าหนดโทษที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระท�า โดยรัฐภาคีต้องปฏิบัติตามในข้อบทที่ ๑ - ๑๗







                                 รายงานผลการประเมินสถานการณ์  242  ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙
   238   239   240   241   242   243   244   245   246   247   248