Page 53 - รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยแผนกลยุทธ์ด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2562
P. 53
รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report)
แผนกลยุทธ์ด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2562
ผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคอาเซียนในเดือนมกราคม 2560 โดยร่วมกับเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ก ประเทศไทย
(The Global Compact Network Thailand - GCNT) และคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วย
สิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights - AICHR) เพื่อหารือ
เกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิทธิมนุษยชนและแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน
หลังจากนั้นจะได้มีการลงไปในพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อการเก็บข้อมูลมาประมวลและจัดท ารายงานสถานการณ์
สิทธิมนุษยชนและการประกอบธุรกิจ โดยภาคธุรกิจจะร่วมกับที่ประชุมลงไปในพื้นที่ในช่วงเดือนมกราคม –
มีนาคม 2560
เมื่อที่ประชุมได้ด าเนินการจัดท ารายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและการประกอบธุรกิจเสร็จแล้ว ก็
จะได้น ารายงานฉบับนั้นมาสังเคราะห์เป็นแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนต่อไป ซึ่งคาด
ว่าน่าจะแล้วเสร็จและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบภายในปี 2561 แล้วจึงเผยแพร่ต่อสาธารณะ
ทั้งนี้ จะได้มีการจัดท าคู่มือ และมีการติดตาม ทบทวนแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน
เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง
2.2 ข้อสรุปจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิภายในส านักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติ
คณะผู้วิจัยได้ท าการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิภายใน กสม. ทั้งสิ้น 8 ท่าน เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม
นอกเหนือจากการท าวรรณกรรมปริทัศน์ เพื่อน าไปสู่การท าแผนปฏิบัติการ ซึ่งแต่ละท่านได้ให้ข้อมูลอันเป็น
ประโยชน์และมีสาระส าคัญ ดังนี้
ผู้ให้ข้อมูลคนที่ 1
1. การพิจารณาถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้ที่สามารถถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยภาคธุรกิจ ควร
ที่จะมุ่งเน้นที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ไม่ได้มีกฎหมายก ากับดูแลเป็นอันดับแรก โดยกลุ่มผู้ที่เข้าข่ายสามารถที่จะถูก
ละเมิดแต่มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้วได้แก่ ผู้ถือหุ้น และกลุ่มคู่แข่งขัน ทั้งนี้ หากพิจารณาจากมาตรฐานสากล
จะพบว่ากลุ่มผู้ที่เข้าข่ายที่ถูกละเมิด ได้แก่ กลุ่มเด็ก สตรี ชาติพันธุ์ แรงงานย้ายถิ่นและคนพิการ โดยในกรณี
ของประเทศไทยยังไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองสิทธิของบางกลุ่ม
โดยในความเห็นส่วนตัวของผู้ทรงคุณวุฒิ มองว่าในบางประเด็นประเทศไทยยังขาดองค์ความรู้ที่
เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การระบุถึงและการยอมรับกลุ่ม minorities หรือกลุ่ม indigenous (กลุ่มชน
ท้องถิ่นดั้งเดิม) ในช่วงต้นจะต้องท าการศึกษาวิจัยก่อนที่จะไปถึงเรื่องของการผลักดันสิทธิ
2-29