Page 85 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประจำปี 2558
P. 85
รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘
และความรับผิดชอบที่ส่งผลส�าคัญยิ่งต่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิในเสรีภาพดังกล่าวต้องด�าเนินไป
พร้อมหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นพิเศษ กล่าวคือ การเคารพสิทธิและชื่อเสียงของบุคคลอื่น หรือการปกป้องความมั่นคงของประเทศ
หรือความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือการสาธารณสุข หรือศีลธรรมของสังคม หลักการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ มาตรา ๔๕ บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การจ�ากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระท�ามิได้ เว้นแต่โดย
อาศัยอ�านาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ....”
๒ สถานการณ์ทั่วไป
ในช่วงระยะเวลากว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา การใช้เสรีภาพในการ ระหว่างวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓
แสดงความคิดเห็นและการแสดงออกที่เป็นกรณีที่กระทบต่อ และการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖
สิทธิมนุษยชนอย่างมาก คือ การแสดงความเห็นและการแสดงออก – พฤษภาคม ๒๕๕๗ และได้มีข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอ
ในด้านการเมืองผ่านสื่อต่าง ๆ ตลอดจนในรูปแบบของการชุมนุม ในการปรับปรุงกฎหมายหลายประการ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
ทางการเมืองหลายครั้งที่น�าไปสู่ความรุนแรงในสังคม มีผู้ที่ได้รับ การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐในการบริหารจัดการ
ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ไปจนถึงบาดเจ็บและเสียชีวิต การชุมนุม การใช้กฎหมายพิเศษ ได้แก่ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก
เป็นจ�านวนมาก หลายกรณีเกิดการละเมิดสิทธิในด้านอื่น ๆ เช่น พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ พระราชก�าหนดการบริหารราชการใน
การใช้ถ้อยค�าที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) การกระทบต่อ สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชบัญญัติการรักษา
สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้สอดคล้องกับ
ข่าวสาร สิทธิในการชุมนุมโดยสงบและสันติ ฯลฯ ทั้งต่อประชาชน หลักการสิทธิมนุษยชนสากล ตลอดจนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับ
ทั่วไป ต่อผู้ชุมนุม และต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ กสม. ได้มีแถลงการณ์ใน เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การสร้างความเข้าใจ
ระหว่างการชุมนุมหลายครั้งที่เห็นว่าอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อสาธารณชนในการใช้สิทธิและเสรีภาพ การหาทางออกร่วมกัน
ทั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุม กสม. ได้ตรวจสอบการกระท�า โดยค�านึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนตามแนวทางสันติวิธี หลักนิติธรรม
หรือการละเลยการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณี หลักการมีส่วนร่วม และหลักขันติธรรม โดยค�านึงถึงผลประโยชน์
การชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่ ทั้งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. สูงสุดของประเทศ
เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) น�าโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้าควบคุมอ�านาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ ๒๒
พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยให้เหตุผลถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ มีผู้ได้รับผลกระทบ บาดเจ็บและเสียชีวิต ตลอดจน
เหตุการณ์มีแนวโน้มขยายตัวจนอาจเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หลังจากที่ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และได้มีการออกประกาศ/ค�าสั่ง คสช. เพื่อระงับเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง ยืดเยื้อ แก้ไขปัญหาการ
บริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมา เช่น ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ แต่ประกาศ/ค�าสั่งก็ได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล
หลายประการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะการควบคุมจ�ากัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมือง มีการเรียกหรือเชิญ
บุคคลให้ไปรายงานตัว การห้ามชุมนุมทางการเมือง การจ�ากัดเสรีภาพความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
นอกจากนี้ สืบเนื่องจากสาเหตุส�าคัญที่การชุมนุมทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างกว้างขวาง หลายฝ่ายรวมทั้งรัฐบาลจึงมีแนวคิด
ที่จะออกกฎหมายเพื่อก�าหนดเกณฑ์ส�าหรับการชุมนุมสาธารณะขึ้น (ซึ่งหลายประเทศได้มีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน) เพื่อมุ่งให้
การชุมนุมสาธารณะ “เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่กระทบกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ตลอดจนสุขอนามัยของประชาชาติ หรือความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ และไม่กระทบกระเทือน
สิทธิและเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น” ซึ่งการออกกฎหมายดังกล่าวได้มีผลกระทบถึงการชุมนุมอื่น ๆ นอกเหนือไปจาก
การชุมนุมทางการเมืองด้วย อาทิ การชุมนุมของเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน หรือการคัดค้านของชุมชนที่ได้รับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และสุขภาพจากนโยบาย มาตรการ โครงการต่าง ๆ ไปด้วย
55