Page 92 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 92
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนมีอยู่
เป็นจ�านวนมาก ทั้งที่เป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานและกฎเกณฑ์เฉพาะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศต่างๆ
เหล่านี้จัดท�าขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร (ไม่ว่าจะเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ) และมีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ตามเงื่อนไขที่ก�าหนด
160
ไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ (Vienna Convention on the law of treaties) หากแต่
อาจอยู่ในรูปแบบที่มีชื่อเรียกต่างๆ กัน โดยอาจเรียกว่าสนธิสัญญา (Treaty) อนุสัญญา (Convention) พิธีสาร (Protocol) ปฏิญญา
(Declaration) กฎบัตร (Charter) กติการะหว่างประเทศ (Covenant) ธรรมนูญ (Statute) ข้อตกลงระหว่างประเทศ (Agreement)
บันทึกแลกเปลี่ยน (Notes of Exchange) บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) สนธิสัญญาต่างๆ เหล่านี้ย่อมน�ามา
ซึ่งข้อผูกพันหรือพันธกรณีที่รัฐหนึ่งจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อก�าหนดในสนธิสัญญานั้นๆ อย่างไรก็ตาม รัฐจะมีข้อผูกพันหรือ
พันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามข้อก�าหนดในสนธิสัญญาแค่ไหนเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับว่ารัฐนั้นได้เข้าเป็นภาคีหรือให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญา
ในเรื่องใด หรือเพียงแต่รัฐนั้นได้ลงนามรับรองสนธิสัญญาในเรื่องใดไว้ หากแต่ยังมิได้ให้สัตยาบันสนธิสัญญานั้นอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้
การมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่เรียกชื่อต่างๆ นั้น ย่อมต้องพิจารณาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ เป็น
ส�าคัญ
• กรณีรัฐเข้าเป็นภาคี หรือให้สัตยาบันสนธิสัญญา
สนธิสัญญาหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศต่างๆ จัดท�าขึ้นโดยอาศัยการแสดงเจตจ�านง
161
ขั้นสุดท้ายของรัฐต่างๆ ที่ร่วมกันจัดท�าสนธิสัญญานั้นขึ้น ว่ารัฐนั้นๆ จะผูกพันตามข้อก�าหนดต่างๆ ในสนธิสัญญา แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว
รัฐมีความผูกพันตามสนธิสัญญา ก็ต่อเมื่อได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานั้น แต่อย่างไรก็ตาม การแสดงความยินยอมของรัฐอาจกระท�า
162
ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งใช้ศัพท์เรียกที่แตกต่างกันไป เช่น การให้สัตยาบัน (Ratification) การยอมรับ (Acceptance) หรือการให้ความ
เห็นชอบ (Approval) ซึ่งต่างก็มีความหมายที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ การแสดงให้เห็นถึงเจตจ�านงหรือความยินยอมของรัฐ
163
ที่จะผูกพันตามสนธิสัญญาเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารัฐแต่ละแห่งจะใช้ศัพท์เรียกในการแสดงความยินยอมเช่นนั้น
แตกต่างกันอย่างไร ก็ส่งผลทางกฎหมายต่อความผูกพันของสนธิสัญญาต่อรัฐนั้นแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ จึงมิได้
ก�าหนดนิยามของศัพท์หรือถ้อยค�าต่างๆ ดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความยุ่งยากหรือความเข้าใจไม่ตรงกันของรัฐต่างๆ
ในการจัดท�าสนธิสัญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาความผูกพันของรัฐตามสนธิสัญญา
เมื่อรัฐได้ให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมที่จะผูกพันตามสนธิสัญญาหรือกฎเกณฑ์ระหว่าง
ประเทศต่างๆ แล้ว การให้สัตยาบันหรือความยินยอมดังกล่าว ย่อมน�ามาซึ่งผลทางกฎหมายต่อความผูกพันของรัฐตามสนธิสัญญาโดย
160
Vienna Convention on the law of treaties, concluded at Vienna on 23 May 1969.
“อนุสัญญา” หมายความถึงข้อตกลงระหว่างประเทศที่ได้ท�าขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างรัฐต่างๆ และอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่า
จะได้ท�าขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือสองฉบับหรือหลายฉบับผนวกเข้าด้วยกันและไม่ว่าจะเรียกชื่อเช่นใด (ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง)
“Treaty” means an international agreement concluded between States in written form and governed by international
law, whether embodied in a single instrument or in two or more related instruments and whatever its particular designation. (Article 2,
paragraph 1)
ดังนั้น ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ สนธิสัญญาจึงต้องประกอบด้วยองค์ประกอบส�าคัญสี่ประการ ได้แก่ สนธิสัญญาเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ
ท�าขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ระหว่างรัฐต่างๆ และอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
161
โปรดดู ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑ สนธิสัญญา, กรุงเทพ: ส�านักพิมพ์ วิญญูชน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ แก้ไขเพิ่มเติม, น. ๘๕.
162
Vienna Convention, Article 11. MEANS OF EXPRESSING CONSENT TO BE BOUND BY A TREATY
“The consent of a State to be bound by a treaty may be expressed by signature, exchange of instruments constituting a treaty,
ratification, acceptance, approval or accession, or by any other means if so agreed.”
163
Vienna Convention, Article 14. CONSENT TO BE BOUND BY A TREATY EXPRESSED BY RATIFICATION, ACCEPTANCE OR
APPROVAL
71
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖