Page 65 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 65
(๑.๑.๒) เงื่อนไขเกี่ยวกับวิธีหรือลักษณะการด�าเนินการ
การด�าเนินการหรือปฏิบัติการต่างๆ อันเป็นเหตุให้บุคคลสูญหายไปโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมักจะ
เป็นการกระท�าที่มีลักษณะของการด�าเนินการหรือวิธีด�าเนินการที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก ซึ่งพอสรุปรูปแบบ (pattern) ของการ
ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ดังนี้
• เป็นการกระท�าโดย “ใช้ก�าลัง” หรือ “ความรุนแรง” ต่อชีวิตร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สินของ
บุคคล โดยการบุกรุกและตรวจค้นบ้านของบุคคลที่เป็นเป้าหมาย และน�าไปสู่การควบคุมตัวหรือลักพาตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายต่อไป
ในที่สุด ดังเช่น กรณีการสูญหายไปของนาย José Fortino Martinez Martinez ที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชนาวีใช้ก�าลังพังประตูบ้าน
ของ Martinez อีกทั้งยังใช้ก�าลังจับตัวนาย Martinez ไป หรือกรณีการสูญหายไปของนาย Hernandez Garcia และนางสาว Rueda
Garcia ซึ่งชายจ�านวนหนึ่งในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ต�ารวจสหพันธรัฐ (Federal Police) พังประตูบ้านป้าของนางสาว Rueda Garcia
และจับตัวเยาวชนทั้งสองคนไป หรือกรณีการสูญหายไปของนาย Moises Gamez Almanza ซึ่งเจ้าหน้าที่ต�ารวจพยายามข่มขู่หรือ
พูดให้ครอบครัวของนาย Gamez หวาดกลัวและน�าเงินค่าไถ่ไปจ่ายให้แก่ผู้ลักพาตัวในที่สุด นอกจากนี้ ในการสูญหายของประชาชน
ในแทบทุกกรณี เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้กระท�าการมักจะมีหรือติดอาวุธ (armed) ร่วมด้วยในการปฏิบัติการ
• เป็นการด�าเนินการตาม “อ�าเภอใจ” (arbitrarily detained) ของผู้ปฏิบัติการหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐ กล่าวคือ การปฏิบัติการที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบต่อบุคคลเป้าหมายหรือครอบครัวของเขา มิได้มีเหตุผลอ้างอิง
บนพื้นฐานของกฎหมายหรือกฎระเบียบตามกฎหมายแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ ในการปฏิบัติการ ผู้ปฏิบัติการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่มีการชี้แจงหรืออธิบายถึง
เหตุของการกระท�าอันชอบด้วยกฎหมาย (without probable cause) หรือแสดงเอกสารหรือหมายค้น (without search warrant)
ก่อนที่จะตรวจค้นบ้านหรือทรัพย์สินใดๆ ของบุคคลผู้เป็นเป้าหมายหรือครอบครัวของบุคคลนั้น หรือไม่มีหมายจับกุมบุคคลใด
(without arrest order) ดังจะเห็นได้ในกรณีการสูญหายของบุคคลต่างๆ แทบทุกกรณี อีกทั้งผู้ปฏิบัติการหรือเจ้าหน้าที่มักจะ
กระท�าการโดย “ปิดบัง” หรือ “อ�าพราง” ใบหน้า เพื่อมิให้บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการจับหรือกักตัว ญาติ หรือครอบครัวของบุคคลนั้น
รู้ถึงตัวผู้ปฏิบัติการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น หรือจดจ�าใบหน้าของบุคคลนั้นได้
เป็นการด�าเนินการที่มีลักษณะของ “การตระเตรียมการ” (planed) ไว้ล่วงหน้า และมี
“การด�าเนินการร่วมกัน” (coordinated) และเป็นขั้นเป็นตอนในระหว่างบุคคลหรือเจ้าหน้าที่หลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการ
ด�าเนินการ “อย่างเป็นระบบ” (systematic) ดังจะเห็นได้ว่าการด�าเนินการลักพาตัวหรือกักตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายนั้นในแต่ละกรณี
มีการด�าเนินการร่วมกันอย่างเป็นระบบระหว่างผู้ปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือเจ้าหน้าที่ต�ารวจมลรัฐ
หรือเจ้าหน้าที่ต�ารวจสหพันธรัฐ ทั้งในขั้นตอนของการด�าเนินการควบคุมตัวบุคคลผู้เป็นเป้าหมาย เช่น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อ�านาจ
บุกรุกเข้าไปในบ้านของบุคคลผู้เป็นเป้าหมาย ตรวจค้นทรัพย์สินในบ้านของบุคคลนั้น ข่มขู่หรือใช้ก�าลังควบคุมตัวบุคคลนั้นไปโดยมิชอบ
ข่มขู่มิให้ครอบครัวของผู้ถูกควบคุมตัวนั้นติดตามหาตัวบุคคลนั้น และในขั้นตอนภายหลังการควบคุมตัวบุคคลโดยมิชอบนั้นแล้ว เช่น
การไม่เต็มใจรับแจ้งความหรือลงบันทึกการแจ้งหรือการร้องเรียนของครอบครัวของบุคคลผู้สูญหาย การไม่เริ่มด�าเนินการสอบสวนหรือ
พยายามถ่วงเวลาการเริ่มด�าเนินการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ที่มีอ�านาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง การโยนกันไปมาในการรับหรือลงบันทึกเรื่อง
ร้องเรียนในระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในหลายๆ กรณียังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการด�าเนินการร่วมกัน
ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับกลุ่มอาชญากรรม โดยเฉพาะทหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมหรือกักตัวบุคคลเป้าหมาย และส่งตัวไปให้
กลุ่มอาชญากรรมต่อไป
(๑.๒) เงื่อนไขด้านผู้ถูกกระท�าหรือเป้าหมาย
เงื่อนไขด้านผู้ถูกกระท�าหรือเป้าหมายของการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของรัฐ ประกอบด้วย
เงื่อนไขย่อยๆ สองประการ ได้แก่ (๑.๒.๑) เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้ถูกกระท�า และ (๑.๒.๒) เงื่อนไขเกี่ยวกับจ�านวนผู้ถูกกระท�าหรือเป้าหมาย
44
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖