Page 205 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 205
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลไทยจะมิได้มอบหมายให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้แทนของ
รัฐบาลไทยในการด�าเนินการเช่นนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็สามารถด�าเนินการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง เนื่องจาก
ธรรมนูญกรุงโรมฯ มิได้ก�าหนดให้เฉพาะรัฐบาลแห่งรัฐเท่านั้นที่จะสามารถด�าเนินการดังกล่าวได้ เนื่องจากกรณีนี้เป็นกรณีอัยการเริ่ม
การสืบสวนสอบสวนคดีด้วยตนเอง มิใช่ผ่านรัฐภาคีตามกรณีปกติแต่อย่างใด ดังนั้น องค์กรใดๆ ก็ย่อมสามารถประสานและเสนอเรื่อง
ไปยังอัยการได้ หากแต่ในการเสนอเรื่องไปยังอัยการนั้น คณะกรรมการฯ จะต้องเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการณ์และข้อเท็จจริงที่
ครบถ้วนและมีน�้าหนัก และแสดงให้เห็นถึงการกระท�าความผิดอาญาร้ายแรงระหว่างประเทศได้อย่างชัดเจน เพื่อให้อัยการเห็นคล้อย
ตามว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลและมีน�้าหนักเพียงพอ ตลอดจนมีลักษณะเป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขและสันติภาพของประชาคมโลก
เพื่อที่อัยการจะริเริ่มการสืบสวนสอบสวนคดีด้วยตนเอง
เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการณ์และข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและมีน�้าหนัก
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังควรเน้นย�้าที่ “พันธกรณี” “ในทางปฏิบัติ” หรือในทางข้อเท็จจริง
(de facto) ที่ประเทศไทยจะต้องไม่กระท�าการใดๆ อันจะก่อให้เกิดผลกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของ
457
สนธิสัญญา อันเป็นพันธกรณีที่เกิดขึ้นตามหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งมีที่มาจากหลักสุจริต (Bona Fide)
การลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงแสดงถึงเจตจ�านงในระดับหนึ่งของประเทศไทยในลักษณะที่เห็นด้วยหรือเห็นชอบกับวัตถุประสงค์
และสารัตถะของธรรมนูญกรุงโรมฯ รัฐบาลไทยจึงต้องผูกพันตาม “หลักสุจริต” ที่จะต้องไม่กระท�าการใดๆ หรือยอมให้มีการกระท�าใดๆ
อันเป็นการขัดหรือกระทบต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ ที่ได้ลงนามไว้ แม้ประเทศไทยจะยังมิได้เป็นภาคีในธรรมนูญกรุงโรมฯ ก็ตาม
ผลลัพธ์
ประการที่หนึ่ง
เพื่อให้เรื่องดังกล่าวได้เปิดเผยต่อและเป็นที่รับรู้ของประชาคมโลกและในเวทีระหว่างประเทศ เกี่ยวกับ
ผลกระทบอันรุนแรงและใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นแก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างของประเทศไทย อันเนื่องจากการก�าหนดและการด�าเนิน
นโยบายในการท�าสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งมีลักษณะเป็นการ
ก่ออาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ และแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็น “บุคคลที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ”
ประการที่สอง
เพื่อให้การก่ออาชญากรรมร้ายแรงอันเป็นภัยคุกคามต่อความผาสุกและสันติภาพของประชาชนและ
ประชาคมโลก ดังเช่นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นจากการก�าหนดและการด�าเนินนโยบายในการท�าสงครามขั้น
แตกหักกับยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เสนอขึ้นไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ และอาจ
ได้รับการพิจารณาและวินิจฉัยโดยศาลอาญาระหว่างประเทศ ในฐานะ “ศาลเสริม” ตาม “หลักกำรเสริมเขตอ�ำนำจศำลภำยใน
458
ของรัฐ” (Principle of complementarity) เนื่องจากศาลไทยไม่มีอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ ทั้งนี้ เพื่อไม่ปล่อย
ให้ผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อประชาคมโลกลอยนวล เพียงเพราะเหตุว่าไม่มีศาลหรือองค์กรตุลาการภายในประเทศที่จะจัดการได้
ซึ่งสภาวการณ์เช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความผาสุกและสันติภาพระหว่างประเทศด้วย
457
โปรดดู ประสิทธิ์ เอกบุตร, อ้ำงแล้ว, น. ๑๓๐.
458
PREAMBLE of Rome Statute, “…Emphasizing that the International Criminal Court established under this Statute shall be
complementary to national criminal jurisdictions,…” and Rome Statute, Article 17 Issues of admissibility, paragraph 1 (2).
184
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖