Page 208 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 208
ตามกฎหมายไทยจึงลงโทษได้เพียงความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา (มาตรา ๒๘๘ หรือมาตรา ๒๘๙ (๔) แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา) เท่านั้น หากแต่อาชญากรรมร้ายแรงเหล่านั้นเป็นอาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศซึ่งกระทบต่อประชาคมโลก และมี
ลักษณะของการกระท�าความผิดที่แตกต่างไปจากความผิดอาญาสามัญทั่วไปดังกล่าวโดยสิ้นเชิง และหากมีการก่ออาชญากรรมร้ายแรง
ดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย ศาลไทยย่อมมีเขตอ�านาจเหนือคดีนั้นและสามารถด�าเนินคดีนั้นได้อย่างเต็มที่ และมีวิธีพิจารณา
ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธรรมนูญกรุงโรมฯ โดยที่ประเทศไทยไม่จ�าต้องเสนอหรือฟ้องคดีไปยังศาลอาญาระหว่าง
ประเทศแต่อย่างใด
ประการที่สอง
การแสดงความรับผิดชอบของประเทศไทยต่อประชาคมโลกในการให้ความร่วมมือกับนานาอารยประเทศ
ในการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นนั้น ซึ่งได้รับการยอมรับจากกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
ว่าเป็น “อาชญากรรมระหว่างประเทศ” และผู้กระท�าความผิดสมควรได้รับการลงโทษ เพราะความผิดเหล่านี้มีฐานะเป็น “กฎหมาย
460
บังคับเด็ดขาด” (jus cogens crimes) ที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศอันเป็นหน้าที่ของรัฐทุกรัฐ (obligation
461
erga omnes) มิฉะนั้นประเทศไทยอาจกลายเป็นที่พักพิงของอาชญากรร้ายแรงระหว่างประเทศ (safe heaven) ได้
(๒) ข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปรับปรุงระบบการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีเกี่ยวกับการ
กระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดยที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนของประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถอ�านวยความเป็นธรรมให้แก่
ผู้เสียหายหรือครอบครัวหรือญาติของผู้เสียหายจากการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างแท้จริง ดังนั้น นอกจาก
การแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทยซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติเพื่อให้ครอบคลุมถึงอาชญากรรมร้ายแรง
ระหว่างประเทศในลักษณะต่างๆ ดังกล่าว และเพื่อให้การก่ออาชญากรรมร้ายแรงเช่นนั้นตกอยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาลอาญาของ
ประเทศไทยดังกล่าวข้างต้นแล้ว การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติก็มี
ความจ�าเป็นเช่นกัน เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอ�านาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนและการสั่งฟ้องคดีใช้อ�านาจหน้าที่
ของตนไปในทางที่มิชอบ
ข้อเสนอแนะ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะองค์กรระดับชาติในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงควร
ผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการรับรองสิทธิของผู้ร้องทุกข์ในการด�าเนินคดีที่
พนักงานอัยการมีค�าสั่งไม่ฟ้อง และในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน
วิธีการ
ประการที่หนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้มีการรับรองสิทธิของผู้ร้องทุกข์
(หรือผู้เสียหาย) ที่จะรับส�าเนาส�านวนการสอบสวนพร้อมค�าสั่งไม่ฟ้องคดี ภายหลังจากที่พนักงานอัยการมีค�าสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี
ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๔๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อที่ผู้ร้องทุกข์ (หรือผู้เสียหาย) จักได้ไปด�าเนินการใดๆ
ตามความเหมาะสมต่อไป
ประการที่สอง
แก้ไขปรับปรุงกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยก�าหนดให้พนักงานอัยการซึ่งเป็นองค์กร
ในกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองและบุคคลใดๆ อย่างแท้จริง เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนและเป็น
ผู้ควบคุมการสอบสวนในคดีร้ายแรงเกี่ยวกับการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยพนักงานอัยการท�าการสอบสวนและ
460
โปรดดู ไพลิน อภิทักขกุล, ผลกระทบของศาลอาญาระหว่างประเทศที่มีต่อวิธีพิจารณาคดีอาญาของไทย, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต
สาขากฎหมายอาญา, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๓, น. ๑๑๕.
461
โปรดดู ปกป้อง ศรีสนิท, อ้ำงแล้ว, ๓๖๓, น. ๑๘๔.
187
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖