Page 42 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 42

เป็นการกำาหนดขอบเขตและความสัมพันธ์ของรัฐที่จะกระทำาต่อบุคคลที่เป็นผู้ต้องหาว่าจะสามารถ
                    กระทำาได้มากน้อยเพียงใด

                                  ๒.  สิทธิที่มีไม่เหมือนบุคคลทั่วไป เช่น การถูกคุมขัง เสรีภาพในการเดินทาง เป็นต้น
                    โดยผู้ต้องหาหรือผู้ต้องขังมีสถานะที่ไม่เหมือนบุคคลทั่วไป

                                  ๓.  สิทธิที่ยังคงมีเหมือนคนทั่วไปซึ่งจะถูกล่วงละเมิดสิทธิไม่ได้  เช่น  สิทธิในชีวิตและ
                    ร่างกาย สิทธิในเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ

                                  แผนประทุษกรรมได้มีการนำามาใช้ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยมีวัตถุประสงค์
                    เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำารวจได้เรียนรู้กระบวนการ วิธีการ และขั้นตอนต่างๆ ของผู้กระทำาความผิด  แต่ใน

                    ปัจจุบันการทำาแผนประทุษกรรมเป็นไปเพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องหาปฏิเสธในภายหลัง  หากมองว่าเป็น
                    ความจำาเป็นของกระบวนการยุติธรรม และการทำาแผนประทุษกรรมทำาให้เกิดประสิทธิภาพในการ

                    รวบรวมพยานหลักฐานของกระบวนการยุติธรรม ก็สามารถยอมรับได้  แต่ประเด็นคือการทำาแผน
                    ประทุษกรรมอย่างไรที่จะไม่กระทบต่อสิทธิเกินสมควร  โดยในส่วนของคดีอาญาที่เป็นความสัมพันธ์

                    ระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคล ซึ่งรัฐมีอำานาจเหนือปัจเจกบุคคล  แต่การกระทำาของรัฐจะไปก้าวล่วงจน
                    เกินสมควรแก่เหตุไม่ได้ ที่จะนำาไปสู่การที่ผู้ต้องหาถูกทำาร้ายร่างกาย หรือการที่สังคมพิพากษาว่า

                    เขาเป็นผู้กระทำาผิด ซึ่งเป็นการทำาให้ผู้ต้องหาถูกกระทบสิทธิ  โดยประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องสามารถที่
                    หลีกเลี่ยงได้ในการที่จะทำาให้การสืบสวนมีประสิทธิภาพ ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ตำารวจจะนำาตัวผู้ต้องหาไป

                    ทำาแผนประทุษกรรมนั้น ไม่ควรที่จะให้สาธารณชนทราบในเรื่องของวัน เวลา และสถานที่ เพื่อป้องกัน
                    มิให้เกิดการทำาร้ายร่างกายผู้ต้องหาจากญาติพี่น้องของผู้เสียหายหรือประชาชนที่มามุงดู  ในส่วนของ

                    ผู้ต้องหากับสื่อมวลชน ซึ่งทั้งผู้ต้องหาและสื่อมวลชนต่างก็มีสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้  โดย
                    ผู้ต้องหามีสิทธิตามมาตรา ๓๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐  ในเรื่องของ

                    เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัว  ส่วนสื่อมวลชนก็มีเสรีภาพในการเสนอข่าว ซึ่งต่างคน
                    ต่างอ้างสิทธิของตนเอง  โดยหลักของรัฐธรรมนูญหากสิทธิและเสรีภาพในส่วนที่มีความขัดแย้งกัน

                    จะต้องพิจารณาในเรื่องของสิทธิที่มีเงื่อนไขและสิทธิที่ไม่มีเงื่อนไข  ซึ่งเสรีภาพของสื่อมวลชนในการ
                    นำาเสนอข่าวจะไปกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลมิได้  ซึ่งเป็น

                    ข้อจำากัดในการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน ในขณะเดียวกันสิทธิส่วนบุคคลเป็นสิทธิที่ไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น
                    การใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำาเสนอข่าวจะต้องไม่ไปกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล เกียรติยศ

                    ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัว  โดยสื่อมวลชนสามารถรายงานเหตุการณ์เพื่อให้สังคมได้
                    ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                                  หากพิจารณาจากคำาสั่งสำานักงานตำารวจแห่งชาติ ที่ ๔๖๕/๒๕๕๐ เรื่อง การปฏิบัติ
                    เกี่ยวกับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชน และการจัดทำาสื่อ

                    ประชาสัมพันธ์ (แก้ไขเพิ่มเติม) ข้อ ๒.๓ ห้ามอนุญาตหรือจัดให้สื่อมวลชนทุกแขนงถ่ายภาพ สัมภาษณ์
                    หรือให้ข่าวของผู้ต้องหาและเหยื่ออาชญากรรม เว้นแต่พนักงานสอบสวนดำาเนินการเพื่อประโยชน์

                    แห่งคดี หรือได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหา เหยื่ออาชญากรรมหรือผู้เสียหาย  ซึ่งในเรื่องของคำาว่า




                                                                                                          41

                                                                       สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
                                                      กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47