Page 41 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 41

เจ้าหน้าที่ตำารวจกลับปฏิเสธว่าไม่ได้แจ้งข้อมูลไปยังสื่อมวลชน  แต่สื่อมวลชนสืบค้นหาข้อมูลทราบ
                 ข่าวเอง  ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่การแถลงข่าวในคดีใหญ่ๆ ที่โด่งดัง จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำารวจที่เป็นผู้บังคับ

                 บัญชาจะเป็นผู้ให้ข่าว
                               อาชีพสื่อมวลชนมีความแตกต่างจากอาชีพทนายความ เนื่องจากทนายความจะต้อง

                 สอบเพื่อขอรับใบอนุญาต แต่สื่อมวลชนไม่ต้องสอบหรือไม่ต้องมีใบอนุญาต ซึ่งใครจะทำาหน้าที่สื่อมวลชน
                 ก็ได้  แต่มีข้อสังเกตว่า หากเป็นบุคคลที่เรียนมาในสาขานิเทศศาสตร์หรือทางด้านสื่อสารมวลชนจะ

                 ได้รับการสั่งสอนอบรมในเรื่องของจรรยาบรรณ สิทธิและเสรีภาพ  ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีการละเมิด
                 สิทธิมนุษยชนเป็นส่วนน้อย  โดยในการทำางานของสื่อมวลชนจะต้องใช้หลักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา

                 แล้วสื่อมวลชนจะเข้าใจและได้รับคำาตอบว่าจะต้องนำาเสนอข่าวในรูปแบบใด อย่างไร
                               ส่วนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและส่งเสริมมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพ

                 สื่อมวลชน พ.ศ. ....  ในอดีตที่ผ่านมาสื่อมวลชนเคยได้รับผลกระทบจากอำานาจของรัฐที่เข้าไปแทรกแซง
                 กระบวนการของสื่อมวลชน จนทำาให้สื่อมวลชนขาดอิสระ ไม่สามารถนำาเสนอข้อมูลได้ ทำาให้สื่อมวลชน

                 บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายในลักษณะนี้ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอยู่ในสังคม


                               ผู้แทนนักวิช�ก�ร ได้แสดงความคิดเห็น สรุปได้ ดังนี้
                               การตั้งชื่อการสัมมนาในวันนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ความระมัดระวัง

                 เป็นอย่างมาก  โดยตั้งโจทย์ว่า  ทำาอย่างไรที่จะต้องเคารพต่อสิทธิของบุคคล  และในขณะเดียวกันจะต้อง
                 ไม่กระทบกับประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมในการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ในการ

                 นำาตัวผู้กระทำาผิดมาลงโทษ
                               โดยหลักพื้นฐานของความสัมพันธ์สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ  ส่วนที่ ๑ คดีอาญา

                 เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคล  และส่วนที่ ๒ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหากับ
                 สื่อมวลชน ซึ่งทั้ง ๒ ส่วน มีความเกี่ยวโยงกันแต่มีหลักพื้นฐานที่แตกต่างกัน

                               เมื่อพิจารณาสิทธิของผู้ต้องหา คือ
                               ๑.  สิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยผู้ต้องหาเป็นผู้ทรงสิทธิหลักในคดี ซึ่งรัฐธรรมนูญ

                 แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐  ได้บัญญัติหลักการพื้นฐานในเรื่องสิทธิของผู้ต้องหาไว้
                 อย่างชัดเจน ตามมาตรา ๓๙  ที่บัญญัติว่า “บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำาการอันกฎหมาย

                 ที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำาหนดโทษไว้  และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะ
                 หนักกว่าโทษที่กำาหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำาความผิดมิได้  ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐาน

                 ไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำาเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำา
                 ความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระทำาความผิดมิได้”  และมาตรา ๔๐  บัญญัติว่า “บุคคลย่อม

                 มีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำาเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย
                 หรือพยานในคดีมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำาเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้ง

                 สิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำาเป็นปฏิปักษ์ต่อ
                 ตนเอง” ซึ่งในบางครั้งผู้เสียหายก็ไม่ต้องการออกสื่อ โดยจะเห็นได้ว่าสิทธิในกระบวนการยุติธรรม



            40

            สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
            กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46