Page 42 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 42
สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
National Human Rights Commission of Thailand
เจาของอพยพออกจากที่ดินหรือเลิกทําประโยชนในที่ดินนั้นแลว ที่ดินนั้นจะกลับมาเปนสมบัติสวนรวม
ผูอื่นเขาทําประโยชนตอไปได เพราะในสมัยโบราณกรรมสิทธิ์ยังไมแยกออกจากการครอบครอง เจาของ
ตองเปนผูที่ครอบครองหรือทําประโยชนในที่ดินนั้นจึงจะมีสิทธิหวงหามในที่ดินนั้นได (ร. แลงกาตี, 2526)
กรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทย ปรากฏเริ่มแรกตั้งแตสมัยกรุงสุโขทัยเปนราชธานี ในรัชกาลของ
พอขุนรามคําแหงมหาราช ซึ่งทรงดําเนินรัฐประศาสโนบายสงเสริมเศรษฐกิจเกี่ยวกับการทําประโยชนในที่ดิน
เพื่อใหไดพืชผลมาเปนปจจัยในการบริโภคและอุปโภคพอควรแกระดับการครองชีพในสมัยนั้น เมื่อราษฎร
เขาบุกเบิกหักรางถางพงในที่ดินจนเพาะปลูกไดผลไดประโยชนแลวก็โปรดใหที่ดินนั้น ๆ เปนกรรมสิทธิ์
ของผูออกแรงออกทุนไป ดังปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 วา “ฯลฯ สรางปาหมากปาพลูทั่วเมืองทุกแหง
ปาพราวก็หลายในเมืองนี้ ปาคาง (ขนุน) ก็หลายในเมืองนี้ หมากมวงก็หลาย ในเมืองนี้ หมากขามก็หลายในเมืองนี้
ใครสรางไดไวแกมัน ฯลฯ” ไดจัดแบงองคการบริหารออกเปนรูปจตุสดมภ คือ เวียง วัง คลัง นา
ประจําอยูสวนกลาง การจัดเรื่องที่ดินขึ้นอยูแกกรมนา ในแผนดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจาอูทอง)
(พ.ศ. 1903) ตําแหนงเสนาบดีกรมนามีชื่อเรียกวา “ขุนเกษตราธิบดี” ในแผนดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
(พ.ศ. 1991) หรือที่เรียกวา “พระเกษตราธิบดี” ในแผนดินพระเจาปราสาททอง (พ.ศ. 2175) เรียกวา
“เจาพระยาพลเทพเสนาบดีศรีไชยนพรัตนเกษตราธิบดี อภัยพิริยะปรากรมพาหุ” นามเจาพระยาพลเทพนี้
ใชอยูจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร ในสมัยนี้มีกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จซึ่งตราขึ้นใชบังคับตั้งแตแผนดิน
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจาอูทอง) บทที่ 35, 42 และ 43 เปนแมบทสําหรับดําเนินการ โดยกําหนด
ใหมีการจัดที่ดินซึ่งยังรกรางเปนทําเลเปลาใหราษฎรเขากนสรางใหมีประโยชนขึ้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร
รัชกาลที่ 1 - 2 งานที่ดินยังคงยึดหลักการตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ สมัยรัชกาลที่ 3 มีการออกหนังสือ
สําหรับที่บาน เพื่อระงับขอพิพาทการรุกลํ้าเขตกัน สมัยรัชกาลที่ 4 มีการประกาศขายฝากและจํานําที่สวน ที่นา
และมีการออกตราแดง ในเขตจังหวัดกรุงเกา (พระนครศรีอยุธยาอางทอง ลพบุรีสุพรรณบุรี) เปนหลักฐานแสดงวา
มีผูมีชื่อเปนเจาของและใชในการเก็บภาษีที่นา
การออกหนังสือสําคัญชนิดตาง ๆ มีเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิดในสมัยรัชกาลที่ 5 เชน โฉนดสวน
ใบตราจอง เพื่อประโยชนในการเก็บภาษีคานา ตอมา มีปญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินสูศาลบอยขึ้น เพราะหนังสือ
สําคัญที่เจาหนาที่ผูเก็บภาษีอากรออกใหเจาของที่ดินยึดถือไวนั้นไมอาจระงับขอพิพาทโตแยงได เนื่องจาก
มีขอความไมกระจางวาผูใดมีสิทธิอยูในที่ดินเพียงใดอยางใด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว
ทรงประสบถึงความเดือดรอนของราษฎรในกรณีดังกลาว จึงไดทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหกระทรวงเกษตร
พาณิชยการจัดดําเนินงานเรื่องสิทธิในที่ดินใหรัดกุมขึ้น โดยมีดําเนินการออกโฉนดที่ดิน โดยใหอยูในบังคับบัญชา
ของเทศาภิบาลมณฑลกรุงเกา
การออกเดินสํารวจเปนครั้งแรกในป ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) โดยขาหลวงเกษตรพรอมดวยเจาพนักงาน
กรมแผนที่ และมีพระบรมราชานุญาตใหผูที่ถือโฉนดที่ดิน เปนผูมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีการออกโฉนดตราจอง
เปนหนังสือสําคัญสําหรับที่ดินที่ไดทําประโยชนแลว ปจจุบันยังคงมีอยูในเขตมณฑลพิษณุโลก คือ จังหวัดพิษณุโลก
พิจิตร อุตรดิตถ และสุโขทัย และจัดตั้งหอทะเบียนที่ดินแหงแรก คือ หอทะเบียนมณฑลกรุงเกาในพระราชวัง
รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข 21
นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”