Page 41 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 41
สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
National Human Rights Commission of Thailand
ในป พ.ศ. 2535 กรมปาไมตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 และ 17 มีนาคม พ.ศ. 2535 นั้น ไดมีการ
จําแนกพื้นที่ปาไมเปนเขตอนุรักษ (โซน C) จํานวน 88.23 ลานไร เขตเศรษฐกิจ (โซน E) จํานวน 51.88 ลานไร
และเขตที่เหมาะสมตอการเกษตรกรรม (โซน A) จํานวน 7.22 ลานไร ตอมา ในป พ.ศ. 2536 กรมปาไม
ไดสงมอบพื้นที่ปาสงวนแหงชาติที่มีประชาชนเขาทํากินรวม 44 ลานไร ใหแกสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อการเกษตรกรรม ซึ่งสวนหนึ่งมาจากปาเศรษฐกิจ (โซน E) ดังนั้น ปาอนุรักษ (โซน C) และปาเศรษฐกิจ
(โซน E) จึงอยูในความรับผิดชอบของกรมปาไม ประมาณ 103.3 ลานไร
การใชที่ดินโดยปราศจากวางแผนที่ดี อีกทั้งขาดการจัดการเรื่องสิทธิการครอบครองและใชประโยชน
ที่ดินที่ชัดเจนทําใหการใชที่ดินเปลี่ยนแปลงไปตามแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการปลอยที่ดินทิ้งรางรอขาย
ทําใหเกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน เชน การชะลางพังทลายของดินถึง 108.87 ลานไร ดินที่มีปญหา
ตอการใชประโยชนทางดานเกษตรกรรม 209.84 ลานไร ซึ่งสวนใหญอยูในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สวนดินเค็ม ดินกรดและดินคอนขางเปนทราย อยูในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สําหรับการใชประโยชนที่ดิน
ไมถูกตองตามศักยภาพ คิดเปนพื้นที่ 35.60 ลานไร
2.2 สิทธิในที่ดิน
ในอดีตยุคโบราณยังไมมีระบบกรรมสิทธิ์ ที่ดินเปนสมบัติของสวนรวม ไมมีใครหวงหามและ
กันเปนของตนได การเพาะปลูกในยุคนั้นยังไมมีการถือสิทธิในที่ดิน เพราะที่ดินมีมากมาย เมื่อที่ดินแหงหนึ่ง
เพาะปลูกไมไดผลดี ก็จะอพยพโยกยายไปหาที่ดินแหงใหม นอกจากนั้น มนุษยในยุคนี้ยังสามารถทําการ
เพาะปลูกรวมกันได โดยถือวาที่ดินเปนสวนรวมของสังคมผูทําการเพาะปลูกเพียงแตแบงปนพืชผลกันเทานั้น
(หลวงวิจิตรวาทการ, 2523)
เมื่อมนุษยมาอยูรวมกันเปนสังคม และมีจํานวนคนเพิ่มมากขึ้น มีความจําเปนตองทําการเพาะปลูกใหได
ผลดีก็ตองหาที่ดินที่ดี ซึ่งในสมัยนั้นคือที่ดินที่นํ้าขึ้นแลวนํ้าลดลง ก็เริ่มมีความจําเปนในการถือสิทธิในที่ดิน
เพื่อแบงสรรที่ดินกันเพาะปลูก โดยเปนสิทธิเพียงชั่วคราวมีกําหนดเวลาไมเกิน 1 ป แตสิทธินี้ก็ยังไมใชสิทธิ
สวนบุคคลสิทธิครอบครองยังเปนของพวกของหมูหรือเผา เพราะการแบงที่ดินอยางนี้ตองแบงเปนผืนใหญ ๆ
ไมสามารถจัดแบงเปนชิ้นเล็กชิ้นนอย ตอมา เมื่อมีวิวัฒนาการดานการเพาะปลูกมากขึ้น ตองหักรางถางพง
ตองขุดรองดึงนํ้าเขามา หรือตองขุดบอ ขุดสระกักเก็บนํ้าไวงานเหลานี้ตองใชเวลาและแรงงานมาก ทําใหเกิด
ความหวงกันที่ดินดังกลาวจะใหคนอื่นมาเอาไปเสียไมได สิทธิในที่ดินอยางแทจริงจึงไดกําเนิดขึ้นจากการลงแรง
สิทธินี้ยังไมเปนสิทธิสวนตัวบุคคล แตเปนของครอบครัว หมูหรือเผาซึ่งครอบครัว หมูหรือเผา ยังไมยอม
ใหคนแตละคนแบงแยกออกไป (หลวงวิจิตรวาทการ, อางแลว) ตอมา เมื่อเผารวมกันเปนประเทศ การปกครอง
มีความมั่นคงยิ่งขึ้น เปนเหตุใหอํานาจของครอบครัวเสื่อมลงไปมาก แตละคนมีสิทธิมากขึ้น หลักกรรมสิทธิ์
ในที่ดินของเอกชนจึงกอตั้งขึ้น (ภาสกร ชุณหอุไร, 2528) แตกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเอกชนยังมีลักษณะ
ตางจากกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย เพราะในสมัยนั้นที่ดินมีอยูมาก แตคนยังมีนอย ถาใครตองการที่ดิน
ที่จะเพาะปลูกหรือปลูกเรือนอยู ตองไปหาที่ดินในปา แลวถากถางโคนสรางที่ดินนั้นจึงจะเปนของตน แตถา
20 รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข
นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”