Page 291 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 291

สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
                National Human Rights Commission of Thailand


                วาดวยที่ราชพัสดุใหกระทรวงการคลังมีอํานาจในการปกครอง ดูแล และบํารุงรักษา รวมทั้ง จัดหาประโยชน
                และทํานิติกรรมเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ สมควรแกไขอํานาจหนาที่ของกระทรวงการคลังตามประกาศคณะปฏิวัติ

                ฉบับที่ 216 ใหสอดคลองกัน

                         จากนั้นมาในการปรับปรุงกฎหมายวาดวยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ทั้งยังไดบัญญัติใหกระทรวง

                การคลังมีอํานาจหนาที่ในกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุตลอดมาจนปจจุบัน ในสวนของพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ
                พ.ศ.2518 มิไดมีการแกไขเพิ่มเติม แตไดมีการตราพระราชบัญญัติอื่นออกมาใชบังคับเปนจํานวนมากที่มี

                ผลกระทบตอการบริหารที่ราชพัสดุ เชน การยกเวนอสังหาริมทรัพยอันเปนทรัพยสินของแผนดินบางประเภท

                ที่เคยเปนที่ราชพัสดุ การเปลี่ยนแปลงอํานาจการปกครอง ดูแล รักษาและจัดหาประโยชน หลักเกณฑ

                การถอนสภาพการเปนสาธารณสมบัติของแผนดิน กฎหมายเหลานี้ ไดแก กฎหมายวาดวยการปฏิรูปที่ดิน
                เพื่อเกษตรกรรม กฎหมายวาดวยการจัดตั้งมหาวิทยาลัย กฎหมายวาดวยการศึกษาแหงชาติ กฎหมายวาดวย

                ทุนรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ การปฏิบัติงานเกี่ยวกับที่ราชพัสดุจึงมิอาจใชพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุฯ เพียงฉบับเดียว

                ในการตรวจสอบความถูกตองของการปฏิบัติงานได



                6.2 นโยบาย กฎหมาย ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ


                         6.2.1   แนวความคิดการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ

                         ระบบการบริหารจัดการที่ดินของรัฐมีรากฐานมาจากแนวความคิดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
                ของไทยที่ถือวาที่ดินทั้งหมดเปนกรรมสิทธิ์ของพระมหากษัตริย และตอมาเมื่อมีการสถาปนารัฐชาติขึ้นแทนที่

                ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบดั้งเดิม กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดจึงสันนิษฐานไวกอนวาเปนของรัฐ เอกชน

                จะมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินไดก็ตอเมื่อรัฐมิไดตองการใชประโยชนในที่ดินนั้น เมื่อที่ดินทั้งหมดยกเวน

                ที่อนุญาตใหเอกชนมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไดเปนของรัฐ ซึ่งรวมถึงที่ดินที่สงวนไวเพื่อประโยชนรวมกัน
                หรือสาธารณสมบัติของแผนดิน อํานาจในการบริหารจัดการที่ดินของรัฐเหลานั้นจึงเปนของรัฐดวยแตเพียงผูเดียว

                         แนวความคิดที่ถือวารัฐเปนผูมีอํานาจบริหารจัดการที่ดินแตเพียงผูเดียวเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีการ

                ประกาศใชรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กลาวคือ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนี้

                ไดกอใหเกิดการการกระจายอํานาจการบริหารจัดการตาง ๆ ลงไปสูระดับภูมิภาค ทองถิ่นและชุมชน เชน
                ที่บัญญัติไวในมาตรา 46 56 79 84 284 และ 290 ซึ่งบัญญัติใหประชาชนและชุมชนทองถิ่น สามารถมีสวนรวม

                กับภาครัฐในการจัดการใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติ โดยรัฐตองใหการสงเสริม สนับสนุน ใหประชาชน

                เขาไปมีสวนรวมในการจัดการ ตอมา รัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ไดบัญญัติรับรอง

                การใชสิทธิในการมีสวนรวมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงที่ดินของประชาชนและชุมชนไวอยาง
                ชัดแจง โดยไมตองรอใหมีการบัญญัติกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติมารองรับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ




         270     รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข
                 นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”
   286   287   288   289   290   291   292   293   294   295   296