Page 277 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 277
275
ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๑ ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
๕.๔ ควรมีข้อกำาหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลสาธารณะ เช่น
ผู้บริหารประเทศ นักการเมือง นักแสดง ฯลฯ ด้วย
เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าวอาจเปิดเผยได้มากกว่าบุคคลทั่วไป และ
ควรมีข้อกำาหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มคนที่ควรได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ในการบริหารดำาเนินการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ควรจัดการให้
สามารถปฏิบัติได้จริง ชัดเจน ไม่ยุ่งยาก ป้องกันการฝ่าฝืนได้ ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่จำาเป็นทั้งแก่
ผู้ควบคุมข้อมูลและเจ้าของข้อมูลซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิ
๕.๕ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ
กำาหนดให้มีมาตรการควบคุมผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเชิงธุรกิจหรือการพาณิชย์
เมื่อเลิกกิจการ แต่กลับไม่มีมาตรการควบคุมเมื่อเริ่มกิจการ นอกจากนี้ร่างกฎหมายนี้ยังให้มีมาตรการ
ส่งเสริม ได้แก่ การให้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่ผู้ควบคุมข้อมูล
ส่วนบุคคลซึ่งสามารถใช้หรือแสดงเครื่องหมายดังกล่าวได้ แต่ไม่มีข้อกำาหนดให้สามารถเพิกถอนหรือ
ระงับหรือพักใช้เครื่องหมายดังกล่าวแก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่อาจรักษามาตรฐานการคุ้มครอง
ข้อมูลส่วนบุคคลตามที่เคยได้รับเครื่องหมายไว้ด้วยจึงไม่ครบวงจรของการส่งเสริมในเรื่องนี้
๕.๖ ปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ
คือ ไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่กฎหมายกำาหนดให้เปิดเผย และเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ที่กฎหมายกำาหนดว่าไม่ควรเปิดเผย ตัวอย่างเช่น การไม่เปิดเผยข้อมูลเวชระเบียนตามที่ผู้ป่วยร้องขอ
หรือเปิดเผยประวัติสุขภาพส่วนบุคคลในลักษณะไม่เหมาะสมแก่ผู้อื่น ทั้งนี้ อุปสรรคของการเข้าไม่ถึง
ข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นรายงานการแพทย์ของผู้ป่วยที่เป็นเจ้าของข้อมูลนั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุเนื่องจาก
บทบัญญัติและการบังคับใช้กฎหมาย ดังนี้
๕.๖.๑ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ มาตรา ๒๕ ซึ่งบัญญัติว่า
“ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูล
ข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน และเมื่อบุคคลนั้นมีคำาขอเป็นหนังสือ หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแล
ข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องให้บุคคลนั้นหรือผู้กระทำาการแทนบุคคลนั้นได้ตรวจดูหรือได้รับสำาเนาข้อมูล
ข่าวสารส่วนบุคคลส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น และให้นำามาตรา ๙ วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
การเปิดเผยรายงานการแพทย์ที่เกี่ยวกับบุคคลใด ถ้ากรณีมีเหตุอันควรเจ้าหน้าที่
ของรัฐจะเปิดเผยต่อเฉพาะแพทย์ที่บุคคลนั้นมอบหมายก็ได้................”
หากแปลความในทางปฏิบัติในมาตรา ๒๕ ทั้งสองวรรคประกอบกัน ย่อมแปล
ความได้ว่า การเปิดเผยรายงานทางการแพทย์ของบุคคลใดตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง จะอยู่ในบังคับ
ของหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๒๕ วรรคแรก อยู่ด้วย กล่าวคือ บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสาร