Page 195 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 195
Covenant on Civil and Political Rights) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำาคัญที่ต้องการให้ประเทศ
ต่าง ๆ มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยกำาหนดให้เมื่อประเทศสมาชิกได้มีการลงนามแล้ว
จะต้องไม่มีการลงโทษประหารชีวิตในประเทศดังกล่าวสำาหรับอาชญากรรมร้ายแรงทั่วไป
(Ordinary Crime) ทุกประเภทคดี หากแต่สามารถใช้โทษประหารชีวิตสำาหรับอาชญากรรม
ร้ายแรง (Most Serious Crime) ระหว่างสงคราม ตามคำาพิพากษาคดีอาญาร้ายแรงทางทหาร
ที่กระทำาในระหว่างสงคราม รวมทั้งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น
ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำายีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel,
Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT) มีข้อกำาหนดต่อการปฏิบัติ
ที่เกี่ยวข้องกับการประหารชีวิตที่เป็นการทรมาน หรือการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมจะกระทำาไม่ได้
รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจที่มีต่อนักโทษประหาร
และกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกโทษประหารชีวิต อันแสดง
ให้เห็นถึงอิทธิพลของสังคมโลกต่อประเทศไทยในบทบาททางด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างดียิ่ง
และยังเป็นการสะท้อนถึงภาวะความตื่นตัวของประเทศไทยในการปรับตัวและเรียนรู้มิติ
ทางด้านสิทธิมนุษยชนจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน การลงนามในสนธิสัญญาต่าง ๆ จึงเป็น
การพัฒนาพื้นฐานหลักการทางด้านสิทธิมนุษยชนให้มีความเป็นอารยะและได้รับการยอมรับ
จากนานาประเทศว่าประเทศไทยให้ความสำาคัญต่อมิติทางด้านสิทธิและศักดิ์ศรีของมนุษย์
เป็นสำาคัญ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว นานาอารยประเทศจึงร่วมกันผลักดันให้มีการยกเลิกโทษ
ประหารชีวิต โดยปรากฏออกมาเป็นกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ
ทางการเมืองดังกล่าวข้างต้น ในขณะที่แนวโน้มของการใช้โทษประหารชีวิตในประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลก มีท่าทีลดลงอย่างต่อเนื่องประเทศส่วนใหญ่ได้ยุติการใช้โทษประหารชีวิตไปแล้ว
ทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ เนื่องจากเหตุผลสำาคัญ คือ โทษประหารชีวิตเป็นโทษ
ที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คือ สิทธิในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์อันเป็นสิทธิ
ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่อย่างเสมอกัน โดยไม่คำานึงถึงชาติพันธุ์ ศาสนา และสถานภาพทางสังคม
และทางกฎหมาย โดยเป็นสิทธิที่ไม่อาจพรากไปจากบุคคลได้ นอกจากนี้ โทษประหารชีวิต
ยังเป็นโทษที่ทารุณโหดร้าย เป็นการลงโทษต่อเนื้อตัวและทรมาน ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์ และขัดต่อหลักศีลธรรมและหลักศาสนาต่าง ๆ เพราะเป็นการทำาลายชีวิต แม้ว่า
บุคคลที่ถูกทำาลายชีวิตจะเป็นผู้ทำาลายชีวิตผู้อื่นก่อนก็ตาม นอกจากนี้ ในทางกฎหมายการใช้
โทษประหารชีวิตมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดโดยอาจถูกนำาไปใช้กับผู้บริสุทธิ์ เพราะระบบ
ยุติธรรมไม่ว่าในประเทศใดอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น หากมีการประหารชีวิตไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนมาได้ แม้ต่อมาภายหลัง
จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกประหารชีวิตผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม ในขณะเดียวกันโทษประหารชีวิต
แม้จะเป็นโทษที่รุนแรงสูงสุดตามกฎหมาย แต่ก็ไม่มีผลในการยับยั้งที่จะทำาให้คนเกรงกลัวและ
182 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ