Page 190 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 190
ฟิลิปปินส์ใน ๒-๓ ครั้งที่ผ่านมา ล้วนเป็นผลมาจากการกดดันจากกลุ่มศาสนาคริสต์ นิกาย
โรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนาที่มีอิทธิพลในประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีผลต่อความเชื่อ
และความรู้สึกนึกคิดของประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อคะแนนเสียงที่นักการเมืองจะต้องให้
ความสนใจ และมีพลังในการกดดันฝ่ายการเมืองซีกรัฐบาลให้มีการแก้กฎหมายให้ยกเลิก
โทษประหารชีวิตดังกล่าว แม้จะมีประชาชนและนักการเมืองอีกส่วนหนึ่งออกมาคัดค้านก็ตาม
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าปัจจัยที่สำาคัญอีกประการหนึ่งในการนำาไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตก็
คือ ระดับการเป็นประชาธิปไตยของประเทศนั้น ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับการศึกษาของ Anne
Katrine Mortensen (2008) ที่ระบุว่า ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ เป็นปัจจัย
นำาไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิต
สรุปปัจจัยที่จะทำ�ให้เกิดก�รยกเลิกโทษประห�รชีวิต
จากกรณีศึกษาของประเทศกัมพูชาและฟิลิปปินส์ พบว่าปัจจัยสำาคัญที่นำาไปสู่การยกเลิก
โทษประหารชีวิตใน ๒ ประเทศดังกล่าว ได้แก่
๑. คว�มช่วยเหลือและแรงกดดันจ�กต่�งประเทศ
ในกรณีของประเทศกัมพูชาเห็นได้ชัดเจน หลังจากที่ประเทศตกอยู่ในภาวะสงคราม
และมีกลุ่มการเมือง ๓ ฝ่าย ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนในที่สุดต้องให้องค์การระหว่างประเทศ
และประเทศมหาอำานาจเข้ามาช่วยดำาเนินการไกล่เกลี่ยจนเกิดความสงบและมีการร่างรัฐธรรมนูญ
ขึ้นมาใหม่ ประกอบกับที่ประเทศผ่านสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันมามาก จึงทำาให้กัมพูชา
ไม่ต้องการให้มีการฆ่ากันอีก จึงเห็นชอบให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ตามแรงกดดันทางต่างประเทศ ตลอดจนเพื่อแลกกับการช่วยเหลือจาก
ต่างประเทศในด้านต่าง ๆ
๒. อิทธิพลของศ�สน�และคว�มเป็นประช�ธิปไตย
ในกรณีของประเทศฟิลิปปินส์ จากกรณีศึกษาจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่สำาคัญที่ทำาให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงและนำาไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตก็คือ แรงกดดันจากกลุ่มศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากในประเทศฟิลิปปินส์ ทำาให้สมาชิกรัฐสภา
และฝ่ายการเมืองต้องยอมตาม เนื่องจากกลุ่มศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีอิทธิพล
ต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าปัจจัยที่สำาคัญอีกประการหนึ่ง
ในการนำาไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตก็คือ ระดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศนั้น ๆ
เพราะการที่จะยกเลิกและแก้ไขกฎหมายได้นั้น จะต้องกระทำาโดยผ่านกระบวนการทางรัฐสภา
และผลักดันโดยฝ่ายการเมือง ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของแอนนี มอร์เทนเซน (Anne
Mortensen, 2008) ที่ชี้ให้เห็นว่าจากการศึกษาประเทศต่าง ๆ กว่า ๑๔๕ ประเทศ พบว่า