Page 129 - รายงานการศึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตในประเทศไทย
P. 129

๑. ทฤษฎีแก้แค้นทดแทน (Retributive Theory)
                                  การลงโทษของรัฐเพื่อเป็นการรักษาความเป็นธรรมในสังคมจะต้องประกอบด้วย

                  เงื่อนไข ๓ ประการ คือ

                                  • ประการแรก  จะต้องกระทำาเพื่อแก้ไขความเสียหายที่ผู้กระทำาผิดได้ก่อ
                  ให้เกิดขึ้น  หรือทดแทนความรู้สึกของผู้เสียหายที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำาความผิด  โดยการ
                  ลงโทษต้องเป็นการทดแทนความเสียหาย  (vindication)  หมายถึงการลงโทษของรัฐนั้น  จะต้อง

                  กระทำาลงไปเพื่อเป็นการทดแทน  หรือแก้แค้นให้แก่ผู้เสียหายจากการที่ผู้กระทำาผิดได้ทำาให้เกิด

                  ความเสียหายขึ้น  และจะต้องเป็นการลงโทษที่ทำาให้ผู้เสียหายมีความรู้สึกพึงพอใจและเห็นว่า
                  การลงโทษดังกล่าวเป็นการกระทำาที่ยุติธรรม
                                  ซึ่งทฤษฎีนี้เชื่อว่าการไม่ให้ความสำาคัญต่อความรู้สึกของผู้เสียหายที่ต้องการ

                  แก้แค้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำา  เพราะจะทำาให้ผู้เสียหายหรือญาติพี่น้อง  หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อ

                  เกิดความรู้สึกเสื่อมศรัทธาที่มีต่อรัฐว่าไม่อาจเยียวยาความเสียหายให้กับเหยื่ออาชญากรรมได้
                  ซึ่งการลงโทษโดยคำานึงถึงความพอใจของผู้เสียหายเป็นหลักสำาคัญ จะทำาให้ผู้เสียหายและผู้ที่เกี่ยวข้อง
                  ยอมรับว่าการลงโทษโดยรัฐเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่สังคม  และยอมรับว่าการแก้แค้น

                  ผู้กระทำาผิดไม่ใช่หน้าที่ของเหยื่อหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง หากแต่เป็นหน้าที่ของรัฐ

                                  • ประการที่สอง การลงโทษจะต้องกระทำาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม (fairness)
                  การลงโทษต้องเป็นการทดแทนความเสียหาย  (fairness)  ทฤษฎีนี้มองหน้าที่ของบุคคลในด้าน
                  การเมืองและกึ่งสัญญาประชาคมที่เรียกว่า  การต่างตอบแทน  (reciprocity)  มีหลักว่าการจะให้

                  กฎหมายมีผลคุ้มครองประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม  คนทุกคนจะต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย

                  การที่ผู้กระทำาผิดฝ่าฝืนกฎหมายอาญาแต่ละครั้งเท่ากับว่าผู้กระทำาผิดเอาเปรียบบุคคลอื่นที่เชื่อฟัง
                  กฎหมาย  และข้อได้เปรียบนี้จะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  ถ้าเป็นการกระทำาอาญาที่รู้กันอย่างแพร่หลาย
                  ดังนั้น การลงโทษผู้กระทำาผิดจึงเป็นการที่ทำาให้ผู้กระทำาผิดและบุคคลที่เชื่อฟังกฎหมาย ตระหนักว่า

                  บุคคลที่ละเมิดกฎหมายจะต้องถูกดำาเนินคดี และผู้ที่ได้เปรียบจากการฝ่าฝืนกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ

                  ด้วยเหตุนี้การลงโทษแก่ผู้กระทำาผิด  จึงควรมีความรุนแรงเทียบเท่ากับความได้เปรียบที่ผู้กระทำา
                  ได้รับจากการฝ่าฝืนกฎหมายนั้น  โดยถือว่าผู้กระทำาผิดได้จ่ายหนี้  อันเกิดจากการทำาผิดให้แก่คนที่
                  เชื่อฟังกฎหมายซึ่งเป็นสมาชิกในสังคมนั้น  และเมื่อจ่ายแล้วผู้กระทำาผิดก็สามารถกลับคืนสู่สังคม

                  ในฐานะที่เป็นพลเมืองดี  และมีฐานะเทียบเท่าบุคคลอื่นในสังคม  อย่างไรก็ตาม  การชดใช้

                  ความได้เปรียบของการกระทำาผิดมิใช่เป็นเรื่องระหว่างผู้กระทำาผิดกับผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย
                  หากแต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับผู้กระทำาผิด เพราะฉะนั้น ผู้กระทำาผิดยังคงต้องรับโทษจากการที่ตนได้
                  กระทำาผิด แม้ว่าผู้เสียหายจะยกโทษให้ผู้นั้นแล้ว

                                  • ประการสุดท้าย  การลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของความผิด

                  การลงโทษจะต้องได้สัดส่วนกับความผิด  (proportionality  of  punishment)  ทฤษฎีนี้เห็นว่า








       116     คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
   124   125   126   127   128   129   130   131   132   133   134