Page 100 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 100
๔. เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ
อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นกรอบทางกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจาก
ประชาคมโลก ซึ่งปัจจุบันมีประเทศที่เข้าเป็นภาคีแล้วกว่า ๑๔๕ ประเทศ การเข้าเป็นภาคีย่อมเป็นการ
แสดงให้เห็นความตั้งใจจริงในการเคารพและปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ให้ความคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพของผู้ลี้ภัย สร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับต่อวิธีการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย
การเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ นั้น นอกจากจะทำาให้ประเทศ
จะมีความสามารถมากขึ้นในการจัดการแก้ปัญหาเกี่ยวกับประชากรกลุ่มนี้โดยเหมาะสม ภายใต้โครงสร้าง
ทางกฎหมายที่ถูกต้อง ยังจะทำาให้ประเทศได้รับการยกย่องจากนานาชาติ และเป็นการสร้างการคุ้มครอง
แก่บุคคลที่เสี่ยงภัยต่อการถูกสังหาร บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถสนับสนุนระบบเศรษฐกิจของประเทศ
และหลุดพ้นจากการเป็นบุคคลที่ผิดกฎหมายและไม่มีตัวตนในสังคม
ข้อเสียของการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑
การเข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.๑๙๕๑ ทำาให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ
ขั้นพื้นฐานของผู้ลี้ภัยตามที่ได้กำาหนดไว้ในอนุสัญญา ซึ่งจะทำาให้เกิดภาระด้านงบประมาณที่ใช้ในการดูแล
ผู้ลี้ภัย
นอกจากนี้ ยังกำาหนดให้รัฐภาคีมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ ทั้งในการปรับ
ใช้บทบัญญัติในอนุสัญญานี้ รัฐภาคีต้องจัดหาข่าวสารและข้อมูลทางสถิติซึ่งสำานักงานข้าหลวงใหญ่
แห่งสหประชาชาติร้องขอ เพื่อจัดทำารายงานต่อองค์กรซึ่งมีอำานาจของสหประชาชาติในเรื่องที่เกี่ยวกับ
สภาวะของผู้ลี้ภัย การอนุวัติการของอนุสัญญานี้ และกฎหมาย ข้อบังคับซึ่งมีผลบังคับหรืออาจจะมีผล
บังคับที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัย รัฐภาคีจะต้องแจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ
ของรัฐ ซึ่งรัฐต้องดำาเนินการเพื่อปฏิบัติตามอนุสัญญานี้
แนวทางการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย และการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยตามหลักสิทธิมนุษยชน
“ผู้ลี้ภัย” ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งย่อมมีสิทธิขั้นพื้นฐานโดยเสมอภาคเท่าเทียมกับมนุษย์คนอื่นตาม
หลักสิทธิมนุษยชน สามารถดำารงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเอง
อย่างเต็มที่และสร้างสรรค์ โดยสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิติดตัวผู้ลี้ภัยตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด หรือ
เชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด
รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้บัญญัติรับรองสิทธิมนุษยชนของบุคคล
ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง”
(มาตรา ๔), “การใช้อำานาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และ
เสรีภาพ” (มาตรา ๒๖), และ “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้
เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี
ของประชาชน” (มาตรา ๒๘)
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒