Page 699 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 699
5. สิ่งที่อยากให้เกิดคือ ให้สังคมได้เรียนรู้ว่า รายงานของ กสม. ประชาชน
สามารถน าไปใช้อะไรได้บ้าง โดยให้ กสม. ท าสถิติข้อมูลการเผยแพร่รายงาน
เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงสิทธิ
6. ในการประชุมพิจารณารายงานผลการตรวจสอบแต่ละเรื่องที่เข้ามา พบว่า
กรรมการสิทธิมนุษยชนทั้ง 7 ท่าน ยังไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาของ
รายงาน เนื่องจากเกรงใจกรรมการสิทธิฯ ท่านที่เป็นเจ้าของเรื่องนั้นๆ อยู่
การท างานจึงเป็นลักษณะงานใครงานมัน ท าให้การท างานจึงดูไม่เป็น
เอกภาพ
8.5.3 การสนับสนุนจากสื่อและพลังทางสังคม
ผลการศึกษาวิจัยในขั้นตอนที่ 1 พบว่า กสม. ขาดกลไกส่งเสริมให้เกิดการ
ั
ผลักดันการเยียวยา แก้ไขปญหา เช่น ภาคสื่อสารมวลชน และพลังทางสังคม เนื่องจาก
เป็นกลไกที่รวดเร็วกว่ากลไกปกติ ที่ต้องเสนอผลการตรวจสอบไปยังส านักนายกรัฐมนตรี
และรัฐสภา ซึ่งผลการศึกษาวิจัย ในขั้นตอนที่ 2 เอง พบว่าแนวคิดส่วนใหญ่เป็นไปใน
ทิศทางเดียวกัน คือสื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือส าคัญที่มีส่วนช่วยในการผลักดัน แต่
ั
ปจจุบัน กสม. ยังใช้ประโยชน์กับเครื่องมือนี้ไม่มากเท่าที่ควร ดังรายละเอียด
กลไลของสื่อฯ ช่วยได้มาก แต่ กสม. เองที่ยังไม่น ามาใช้
ควรมีการใช้สื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ วิทยุ เป็นหลัก เนื่องจากสื่อ
เหล่านี้เป็นกระแสสังคม และผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตัวและเกิด
การปฏิบัติ
หากสื่อฯ เข้าใจและสนับสนุนงานด้านสิทธิมนุษยชน ก็จะเป็นประโยชน์อย่าง
มากต่อการท างานด้านสิทธิมนุษยชน เพราะท าให้รัฐเกิดความระมัดระวัง
และตระหนักต่อสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
สื่อมวลชนยังให้ความส าคัญน้อย เนื่องจากการใช้อ านาจเป็นลักษณะรูปแบบ
“คณะ” ซึ่งต้องมีการเชื่อมโยง ไม่เหมือนศาลที่มีความชัดเจน หน้าที่ของ
กสม. เพียงให้ข้อเสนอแนะให้ไปแก้ตรงนั้นตรงนี้
กสม. มีงบประมาณส าหรับการประชาสัมพันธ์ออกสื่อน้อยมาก จึงสามารถใช้
สื่อได้ในแนวทางที่จ ากัด เช่น อินเทอร์เน็ต หรือวิทยุรัฐสภา ซึ่งมีผู้เข้าไป
ติดตามข่าวสารในวงจ ากัด
- 580 -

