Page 680 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 680
ั
รูปแบบที่เป็น “คณะ” จะสามารถสะท้อนปญหาได้ครอบคลุมทุกด้าน
ั
เนื่องจากสามารถแบ่งปนความรู้ ความคิดเห็นระหว่างกัน
ั
รูปแบบที่เป็น “คณะ” จะสร้างความน่าเชื่อถือ มีน ้าหนักได้มากกว่าปจเจก
บุคคล
โครงสร้างและรูปแบบการใช้อ านาจมีการวางระบบไว้ดีแล้ว ตามหลัก
กฎหมายรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญาต่างๆ รวมถึงเป็นไปตามหลักการปารีส
แนวคิดการแก้ไขปัญหา
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า มีแนวคิดอีกส่วนหนึ่งที่ให้ทรรศนะเกี่ยวกับการ
ปรับเปลี่ยนในลักษณะผสมผสาน ในลักษณะที่คงขั้นตอนส าคัญไว้แต่มีการยืดหยุ่น ใน
ลักษณะของการกระจายอ านาจ หรือถ่ายโอนอ านาจเพื่อลดขั้นตอน หรือกระชับเวลาใน
ั
การตรวจสอบให้สั้นลง กรณีปญหาที่มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อน ดังรายละเอียด
1. กรณีที่เรื่องร้องเรียนไม่ได้ยากหรือซับซ้อน ควรถ่ายโอนอ านาจให้กับ
คณะอนุกรรมการในการด าเนินการเบื้องต้นส าหรับการตรวจสอบและ
ประสานงานได้โดยไม่ต้องน าเรื่องเข้าที่ประชุมของกรรมการทั้ง 7 ท่าน แต่
หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็ควรที่จะมีการน าเรื่องเข้าในที่ประชุมตามขั้นตอนปกติ
2. รูปแบบการใช้อ านาจควรเป็นไปในลักษณะของการ “ผสมผสาน” ซึ่งหากเป็น
เรื่องร้องเรียนเล็กๆ น้อยๆ สามารถที่จะมอบหมายหรือโอนถ่ายอ านาจให้
เจ้าหน้าที่พิจารณาตรวจสอบได้เลย เพื่อให้เรื่องที่ร้องทุกข์เสร็จกระบวนการ
เร็วขึ้น
3. หากจะพิจารณาตามสัดส่วนของอ านาจ เสนอให้ 85% เป็นการถ่ายโอน
อ านาจให้เจ้าหน้าที่ กสม. ได้ด าเนินงานตรวจสอบเอง ส่วนอีก 15% ส่งให้
กรรมการสิทธิพิจารณาในรูปแบบคณะเหมือนเดิม
4. มีการกระจายอ านาจให้กับทางส านักงานมากขึ้น โดยเสนอให้มีการตัดขั้นตอน
การพิจารณากลั่นกรองออก และให้คณะกรรมการให้อ านาจกับส านักงานเป็น
ั
ผู้พิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเรื่องร้องเรียนนี้ เพราะปจจุบันยังมีการท างาน
่
่
ซ ้าซ้อนกันอยู่ระหว่างฝายกลั่นกรอง และฝายตรวจสอบ
5. เสนอให้ กสม. ถ่ายโอนอ านาจมาให้ส านักงานเป็นคนพิจารณาเรื่อง เมื่อมี
ประเด็นเข้ามาตรงกับกลุ่มไหนก็ส่งเรื่องไปที่กลุ่มนั้น แล้วในกลุ่มก็จะวาง
แผนการท างานได้ ตั้งแต่การประสานการตรวจสอบ จนถึงการพิจารณาค าร้อง
- 561 -

