Page 676 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 676
หากมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการในส่วนภูมิภาค ข้อมูลที่ถูกส่งมาอนุกรรมการ
อาจจะไม่ให้ความเชื่อถือ สุดท้ายอาจต้องส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไป
ตรวจสอบซ ้า ซึ่งจะท าให้การด าเนินการแก้ไขล่าช้าออกไป
มีช่องทางร้องเรียนเยอะ และมีเทคโนโลยีช่วยไม่จ าเป็นต้องมีศูนย์ในภูมิภาค
เช่น โทรศัพท์ จดหมาย อีเมล์
อาจมีคนแอบอ้างว่าเป็นกรรมการสิทธิภูมิภาค เรียกรับเงินชาวบ้านเป็นค่า
ด าเนินการร้องเรียน
การไปอยู่ในพื้นที่ อาจโดนอิทธิพลแทรกแซง ข่มขู่คุกคาม รวมถึงให้สินบน
หรืออาจเป็นลักษณะหลับหูหลับตาข้างหนึ่ง เพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
แนวคิดการแก้ไขปัญหา
แนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครือข่ายการท างานในพื้นที่ อาจไม่จ าเป็นต้องจัดตั้ง
เป็นศูนย์ปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ แต่เน้นการพัฒนาให้เกิดเครือข่ายการท างานที่
สามารถเอื้ออ านวยประโยชน์กับงานตรวจสอบ ดังผลการศึกษาวิจัยทั้งการสนทนากลุ่ม
ั
และการสัมภาษณ์เชิงลึกที่พบข้อมูลสอดคล้องกันว่า ปจจุบัน กสม. มีการท าข้อตกลง
ความร่วมมือ (MOU) กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ซึ่งที่ผ่านมา กสม.มีการท า
MOU กับมหาวิทยาลัยต่างๆ อยู่ อาทิเช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ั
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ราชภัฏอุบลราชธานี ราชภัฏบุรีรัมย์ เป็นต้น แต่ปญหาคือ
ั
กสม.ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายตรงนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากปญหาอุปสรรคในหลายๆ
อย่าง ซึ่งได้แก่
เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยยังไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเรื่องกระบวนการ
ตรวจสอบ
การลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงยังขาดความน่าเชื่อถือ (ขาดน ้าหนัก) ขาด
การยอมรับจากหน่วยราชการต่างๆ
สถานะการท างานไม่มีความผูกพันกับ กสม. ชัดเจนเป็นเพียงเครือข่าย
นอกจากสถาบันการศึกษา ยังพบว่า กสม. มีเครือข่ายท างานในภูมิภาคอื่นๆ อีก
อาทิ องค์กรเครือข่ายเอกชน (NGOs) หน่วยงานราชการ และอนุกรรมการเฉพาะกิจ
ท าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ หรืออาจไกล่เกลี่ยแทน ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการ
ศึกษาวิจัย พบข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางลดทอนข้อจ ากัดของการท างานในพื้นที่
- 557 -

