Page 675 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 675
ั
การเข้าถึงผู้ร้องเรียนหรือปญหาท าได้ล่าช้า ขั้นตอนปกติจะส่งเจ้าหน้าที่
เดินทางไปตรวจสอบ หรือใช้วิธีการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยส่งจดหมายไป
ถามในเรื่องของประเด็นต่างๆ ซึ่งกว่าจะได้ข้อมูลหลักฐานกลับมาอาจไม่ทัน
การ
มีประชาชนจ านวนมากสอบถามถึงศูนย์ภูมิภาค
ั
จากการที่พื้นที่ปญหาอาจอยู่ไกล การจะลงไปต้องจัดตารางเวลา และมี
บางครั้งที่เจ้าหน้าที่หรือ อนุกรรมการฯ ก็ติดประชุม ไม่ว่างไปลง
การลงพื้นที่ที่อยู่ไกลต้องใช้ทรัพยากรเยอะ
แม้จะมีเทคโนโลยีการสื่อสารช่วย แต่คนยากไร้บางกลุ่มก็เข้าไม่ถึง
เทคโนโลยีนั้น จึงควรมีศูนย์ภูมิภาค
ทั้งนี้โดยมีข้อเสนอแนะส าหรับแนวทางในการด าเนินการ รวมถึงขอบเขตการ
ท างานโดยเริ่มต้นจาก มีเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนท างานในระดับภาคก่อน อย่างน้อย 9
ภาค ภาคละ 3-4 คน ซึ่งหากท าแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี มีปริมาณเรื่องร้องเรียนเข้ามามากก็
สามารถขยายไปในแต่ละจังหวัดได้ แต่อาจจะไม่ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด เน้นให้จังหวัด
ใหญ่ดูแลจังหวัดเล็กที่มีพื้นที่ติดต่อกัน
ส าหรับขอบเขตในการท างาน มีข้อเสนอว่า หากเป็นเรื่องร้องเรียนที่ง่าย ไม่
ซับซ้อน ศูนย์เครือข่ายฯ สามารถท าได้เลยโดยอาศัยอ านาจจากผู้ว่าราชการจังหวัด
นอกจากนี้ในแต่ละจังหวัดจะมีศูนย์ด ารงธรรมดูแลในเรื่องความยุติธรรมอยู่ หรือผ่านทาง
อัยการส านักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือด้านกฎหมายให้แก่ประชาชน (สคช.) ก็ได้
อย่างไรก็ตามหากเป็นเรื่องร้องเรียนที่ใหญ่ ส่งผลกระทบในวงกว้าง อาจจะต้องอาศัย
อ านาจจากกระทรวง กรมต่างๆ ให้ช่วยเข้ามาจัดการ
ั
ขณะที่แนวคิดบางส่วนระบุถึงปญหาข้อจ ากัดที่น่าสนใจ หากมีการตั้งศูนย์
ปฏิบัติการในพื้นที่ ดังรายละเอียด
ั
การตั้งศูนย์ภูมิภาค อาจมีปญหาเรื่องการใช้อ านาจควบคุมการท างานให้อยู่
ในกรอบทั้งในด้านการปฏิบัติ และการตัดสินใจ
ั
ถ้ามีศูนย์ในพื้นที่จะมีปญหาด้านการบริหารจัดการทั้งงบประมาณ และ
บุคลากร และต้องมาจัดโครงสร้างองค์กรใหม่
- 556 -

