Page 520 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 520
อนุสัญญาโดยถือว่าเป็นหน้าที่ประจ าตัว ซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ก าเนิดและมาตรา 46 (1) ก าหนดว่า หาก
ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปมีค าวินิจฉัยสุดท้ายในคดีใดๆ ซึ่งรัฐนั้นเป็นคู่ความเป็นอย่างไรแล้ว รัฐ
คู่ความแห่งคดีจะต้องปฎิบัติตามค าตัดสินของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปด้วย
-หลังจากที่มีการพิพากษาจะมีการส่งต่อไปยังคณะกรรมการรัฐมนตรี
(Committee of Ministers) ซึ่งจะคอยควบคุมให้ปฎิบัติตามค าพิพากษา โดยตัวค าพิพากษาจะไม่
มีผลบังคับในฐานะหลักที่จะใช้กล่าวอ้างได้ทั่วโลก แต่จะอาศัยหลักสุจริตของรัฐภาคีแห่งอนุสัญญา
ในการบังคับให้ท าตามกฎหมายของค าพิพากษา
-ทั้งนี้การบังคับตามค าพิพากษาตามแนวทางปฏิบัติของศาลสิทธิ
ั
มนุษยชนยุโรปได้แบ่งออกเป็น 2 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการของปจเจกชนที่เป็นมาตรการที่
ก าหนดการจ่ายค่าชดเชยเพื่อให้คู่สัญญาได้รับการชดใช้ โดยจะต้องมีการเปิดกระบวนการของ
กฎหมายภายในอีกครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่าศาลภายในของรัฐได้มีการเยียวยาผู้เสียหายไปอย่างไร
บ้าง และ 2) มาตรการทั่วไปที่เป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์ในการปราบปรามการละเมิด
อนุสัญญามิให้เกิดขึ้นอีกซึ่งอาจท าให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายของรัฐที่ตกเป็นจ าเลย
ในคดี
(8.2) ปัญหาอุปสรรค
-ค าพิพากษาของศาลทุกคดีมีผลบังคับใช้กับรัฐที่เป็นภาคีของอนุสัญญา
เท่านั้น จะไม่มีผลผูกพันไปถึงรัฐที่สามถ้าไม่ได้รับความยินยอม
9) กระบวนการผลักดันปรับปรุงกฎหมาย
จุดแข็ง/จุดเด่น
-ค าพิพากษาของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปก่อให้เกิดการแก้ไข
เปลี่ยนแปลงกฎหมายต่างๆ ท าให้ประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกได้ปรับกฎหมายภายในของตนให้
สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ
- 414 -

