Page 43 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 43
่
ของชาวบ้านกับพื้นที่อนุรักษ์จากการประเมินของ ICEM (2003) พบว่า มีชาวบ้านติดอยู่ในเขตปาของรัฐ
่
โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ปาอนุรักษ์ไม่น้อยกว่า 500,000 คน
ั
่
กล่าวได้ว่า ปญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับปาในสังคมไทยเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหรือ
่
่
ตั้งแต่กรมปาไม้อ้างสิทธิเหนือพื้นที่ปาไม้แต่แนวคิดการจัดการทรัพยากรแบบรวมศูนย์ของรัฐ
่
ั
ไม่สามารถแก้ปญหาได้หลักฐานที่ชัดเจน ได้แก่ การลดลงของพื้นที่ปาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้
่
่
การจัดการปาที่มีกรมปาไม้เป็น “พระเอก” เพียงผู้เดียวยังก่อให้เกิดความขัดแย้งและการแย่งชิง
ทรัพยากรระหว่างกลุ่ม ต่าง ๆ ในสังคม การเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการ
่
ทรัพยากรปาไม้ที่เน้นและเปิดโอกาสให้ภาคี ต่าง ๆ โดยเฉพาะชาวบ้านหรือชุมชนท้องถิ่นได้เข้าร่วม
ในการตัดสินใจสําหรับการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียมจึงเริ่มขึ้น
งานการศึกษาเรื่อง ความขัดแย้งในการบริหารจัดการที่ดิน โดยโสภณ ชมชาญ ชี้ให้เห็นว่า
ความขัดแย้งในเรื่องที่ดินนั้นเกิดขึ้นทั้งระหว่างหน่วยงานของรัฐ รัฐกับเอกชน และเอกชนกับเอกชน
ที่รุนแรงและยืดเยื้อจะเกิดขึ้นระหว่างรัฐกับเอกชนในที่ดินของรัฐ ทั้งที่ดินที่ประกาศเป็นเขตสงวนและ
่
่
คุ้มครอง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปา อุทยานแห่งชาติ ปาสงวนแห่งชาติ ที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ประโยชน์
ร่วมกัน ที่ราชพัสดุ ที่ใช้ในราชการทหาร มีสาเหตุและที่มาของความขัดแย้ง 4 ประการ คือ นโยบาย
ของรัฐไม่มีเอกภาพ ขาดเครือข่ายระบบข้อมูลที่ดินที่ดี มาตรการควบคุมการใช้ที่ดินไม่มีประสิทธิภาพ
และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มไม่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดิน ได้มีความพยายามแก้ไขความขัดแย้ง
่
่
จากหลายฝายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งจากฝายการเมือง คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
ั
มากนักเพราะขาดความต่อเนื่องในการแก้ไขปญหาเนื่องจากมีการยุบสภาและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
่
บ่อยครั้ง แนวคิดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเองก็มี 2 แนวทาง คือ การเพิกถอนปาสงวนแห่งชาติ
แล้วออกเอกสารสิทธิ์ให้ราษฎรตามประมวลกฎหมายที่ดิน และเมื่อเพิกถอนแล้วให้นําไปปฏิรูปที่ดิน
้
ซึ่งหาข้อยุติได้ยาก ในส่วนของภาครัฐนั้นได้มีความพยายามที่จะปองกันและแก้ไขความขัดแย้ง
มาตลอดเวลาอันยาวนาน ในกรณีของการบุกรุกเข้าทํากินในพื้นที่ที่รัฐสงวน คุ้มครอง และอนุรักษ์ไว้
รัฐได้มีนโยบายลดความขัดแย้ง โดยการประนีประนอมให้อยู่อาศัยต่อไปได้ หรือผ่อนผันให้ทํากิน
่
ต่อไปตลอดจนมีการจําแนกออกให้เป็นที่ดินทํากินในกรณีของปาไม้ถาวร หรือยกเลิกเพิกถอน
่
ปาสงวนแห่งชาติเป็นที่ดินทํากิน โดยการประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม นอกจากนี้
รัฐยังได้มีนโยบายให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดิน เช่น ในการจัดรูปที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรม การวางผังเมือง การจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ การกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่น การบริหาร
ั
กิจการบ้านเมืองที่ดี การรับฟงความคิดเห็นของประชาชน จากการศึกษาและสํารวจกรณีพิพาทและ
ั
ั
ความขัดแย้งปญหาที่ดินในภาค ต่าง ๆ ของประเทศ รวม 740 กรณี สามารถแก้ไขปญหาได้มีจํานวน 89 กรณี
ั
หรือร้อยละ 12 ของปญหาทั้งหมดเท่านั้น ถึงแม้จะได้มีแผนบริหารราชการแผ่นดินในปี พ.ศ. 2548 - 2551
ในเรื่องการเร่งรัดกระจายสิทธิ์ที่ดินและการจัดที่ดินทํากินพร้อมสาธารณูปโภคให้แก่คนยากจน รวมทั้ง
การพัฒนากฎหมายและส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนทุกระดับ
มีความพึงพอใจในคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ อย่างไรก็ตามการดําเนินงานตามแนวคิด
และนโยบาย ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ความขัดแย้งและข้อพิพาทยังคงมีอยู่และดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
3‐14