Page 42 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 42
่
เป็นศัตรูที่ร้ายกาจต่อทรัพยากรปาไม้และได้ใช้ความพยายามหลายครั้งในการควบคุมประชากร
่
ั
่
ที่อาศัยในปาซึ่งมักถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของปญหาการลดลงของพื้นที่ปาไม้ เช่น ในปี พ.ศ. 2533
่
กรมปาไม้ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกองทัพบก (กองอํานวยการรักษา
่
ความมั่นคงภายใน) ดําเนินโครงการจัดสรรที่ดินทํากินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรม
่
หรือที่รู้จักกันในนาม “ค.จ.ก.” โดยมีการอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายในเขตปาต้นนํ้า
่
ให้มาอยู่รวมกันในเขตพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรมและมีความเปราะบางทางระบบนิเวศทั้งนี้ทางโครงการ
่
วางแผนที่จะดําเนินการกับราษฎรที่อยู่ในเขตปาทั่วประเทศโดยได้ริเริ่มการดําเนินโครงการที่
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่แรกในพื้นที่อพยพทางโครงการฯ ได้จัดตั้งระบบหมู่บ้านและจัดสรร
้
ที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินให้กับเกษตรกรในพื้นที่เปาหมายและเมื่ออพยพชาวบ้านออกไปแล้ว
่
่
ทางกรมปาไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทําการปลูกปาเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศต้นนํ้าโดยไม่ได้คํานึงว่า
่
การอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ต้นนํ้านอกจากไม่นําไปสู่การฟื้นฟูและรักษาพื้นที่ปาไม้แล้วยังนําไปสู่
่
ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตปาอีกด้วย
อย่างไรก็ดีมีการโต้แย้งจากนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศในเรื่องข้อกล่าวหาของรัฐที่ว่า
่
ั
่
“ชาวบ้านทําลายปา” นักวิชาการกลุ่มนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงความสลับซับซ้อนของปญหาการทําลายปา
ั
่
ซึ่งมีข้อสรุปร่วมกันว่าสาเหตุสําคัญของปญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรปาไม้สืบเนื่องจาก
นโยบายการพัฒนาของรัฐที่มุ่งเน้นการผลาญทรัพยากรและการรักษาความมั่นคงของชาติการลดลง
่
ของพื้นที่ปาจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองและสังคมแต่ดูเหมือนว่าข้อโต้แย้งดังกล่าว
่
ไม่ได้นําไปสู่การทบทวนและสร้างนโยบายปาไม้ที่เอื้อประโยชน์ต่อชาวบ้านเท่าไรนัก
่
นโยบายการจัดการปาของไทยยังคงเน้นการอนุรักษ์และคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ
่
โดยยังคงมองชาวบ้านเป็นศัตรูสําคัญของทรัพยากรปาไม้ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 คณะรัฐมนตรี
่
่
มีมติผ่านนโยบายปาไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2528 ซึ่งกําหนดให้ประเทศควรมีพื้นที่ปาไม้อย่างน้อยร้อยละ 40
่
่
ของพื้นที่ประเทศโดยแบ่งเป็นพื้นที่ปาอนุรักษ์ร้อยละ 25 และอีกร้อยละ 15 เป็นพื้นที่ปาเศรษฐกิจ
่
เพื่อบรรลุนโยบายดังกล่าวกรมปาไม้ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดําเนินยุทธศาสตร์อย่างน้อย
2 ยุทธศาสตร์หลักได้แก่ 1) การเร่งประกาศพื้นที่อนุรักษ์ซึ่งรวมถึงพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษา
่
่
พันธุ์สัตว์ปาและ 2) การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนปลูกสร้างสวนปาขนาดใหญ่โดยเฉพาะ
่
่
่
สวนปายูคาลิปตัส ซึ่งยุทธศาสตร์ทั้งสองของกรมปาไม้นําไปสู่ความขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่ปา
่
ซึ่งอาศัยปาในการดํารงชีพตัวอย่างที่สําคัญและเป็นกรณีศึกษาของผู้เขียน ได้แก่ กรณีความขัดแย้ง
ระหว่างชาวบ้านห้วยแก้วตําบลห้วยแก้วอําเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่กับนักธุรกิจในท้องถิ่น
่
่
่
โดยกรมปาไม้อนุญาตให้นักธุรกิจเช่าพื้นที่ปาสงวนแห่งชาติจํานวน 235 ไร่เพื่อทําการปลูกสร้างสวนปา
่
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านห้วยแก้วอ้างว่าเป็นพื้นที่ต้นนํ้าลําธารแหล่งเก็บหาของปาและ
ั
พื้นที่เลี้ยงสัตว์ของชุมชน ดังนั้น พวกเขาจึงต่อต้านการเช่าที่ดินของเอกชนจากรัฐและกลายเป็นปญหา
ความขัดแย้งในที่สุดนอกจากนี้การเร่งประกาศพื้นที่อนุรักษ์ที่ขาดการปรึกษาหารือกับชาวบ้านและ
ั
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นอย่างเหมาะสมทําให้เกิดปญหาการซ้อนทับระหว่างพื้นที่ทํากิน
3‐13