Page 408 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 408
ั
จากปญหาการโต้แย้งในเรื่องอํานาจเกี่ยวกับที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
จึงทําให้กรมธนารักษ์มอบหมายให้กองรักษาที่หลวงดําเนินการยกร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ
เมื่อปี 2511 - 2512 แต่เนื่องจากในระยะต่อมาได้มีมติสภาบริหารคณะปฏิวัติ วันที่ 28 ธันวาคม 2514
สภาบริหารคณะปฏิวัติ มีมติที่ประชุมว่า กระทรวงการคลังไม่มีอํานาจหน้าที่ในที่ราชพัสดุในส่วนที่เป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน นอกจากจะเป็นที่ของส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลังเท่านั้นและ
ในระยะต่อมามีความพยายามที่จะขอแบ่งส่วนราชการใหม่ โดยประสงค์จะขอโอนงานของกองรักษา
ที่หลวงไปอยู่ในสังกัดของกรมอื่น ทําให้กรมธนารักษ์ต้องเร่งดําเนินการยกร่างพระราชบัญญัติในชื่อ
“ร่างพระราชบัญญัติจัดเรียบที่ราชพัสดุ พ.ศ. 25......” เสนอคณะรัฐมนตรี และส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พิจารณา ประกาศบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518
ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 คณะกรรมการที่ราชพัสดุ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 เห็นควร
ที่จะกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปกครองดูแล บํารุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับ
ที่ราชพัสดุให้เป็นการแน่นอนและเหมาะสม จึงประกาศใช้กฎกระทรวง (พ.ศ. 2519) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติที่ได้พัสดุ พ.ศ. 2518 โดยกําหนดว่า ในท้องที่จังหวัดใดที่ยังไม่ได้สํารวจรายการเพื่อ
ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุกลาง ให้กรมธนารักษ์ทําความตกลงกับกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งเป็นผู้ปกครอง
ดูแลหรือใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุนั้นเพื่อสํารวจรายการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุกลาง เมื่อกรมธนารักษ์
ได้ดําเนินการขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุกลางแล้ว ให้แจ้งราชพัสดุจังหวัดหรือสรรพากรเพื่อลงทะเบียนที่
ราชพัสดุจังหวัดให้ถูกต้องตรงกัน ในส่วนที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุแปลงใดยังไม่มีหนังสือสําคัญสําหรับ
ที่ดิน ให้กรมธนารักษ์ดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งหนังสือสําคัญสําหรับที่ดินแปลงนั้น
จากความไม่ชัดเจนของคํานิยาม กฎหมาย การโต้แย้งในเรื่องอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานที่
รับผิดชอบเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 และ
เร่งรัดให้หน่วยงานราชการนําที่ดินที่อยู่ในความปกครองดูแลหรือใช้ประโยชน์ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ
โดยมิได้มีการสํารวจตรวจสอบว่าที่ดินที่หน่วยงานนําขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุมีราษฎรครอบครอง
ทําประโยชน์อยู่ก่อนหรือไม่ ที่ดินดังกล่าวมีพยานหลักฐานการประกาศสงวนหวงห้ามไว้หรือไม่
อย่างไร ที่ตั้งอยู่ใด มีขอบเขตเท่าไร จึงกลายเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิในที่ดิน
ที่นําขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นที่ทําให้หน่วยงานราชการไม่ดําเนินการออกเอกสารสิทธิ โดยอ้างว่า
เป็นที่สงวนหวงห้าม หรือที่ราชพัสดุ หรืออ้างว่าเป็นที่ดินที่หน่วยราชการเคยใช้ประโยชน์ แต่ไม่มี
หลักฐานที่ชัดเจน และขอบเขตการใช้ประโยชน์ไม่แน่นอน นําไปสู่การใช้วิธีการรุนแรงในการขับไล่
ข่มขู่ คุกคาม และดําเนินคดีกับราษฎรที่เป็นคู่พิพาทของหน่วยงานนั้น ๆ
ั
ั
เมื่อเกิดปญหาดังกล่าว รัฐยังไม่มีกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่รัฐกับแก้ไขปญหาการ
ั
โต้แย้งสิทธิในที่ดิน โดยใช้คณะกรรมการแก้ไขปญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) เป็นกลไกในการแก้ไข
ั
ปญหา แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว มีเฉพาะหน่วยงานราชการทั้งที่เป็นคูพิพาทและไม่มีส่วน
เกี่ยวข้อง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ประกอบกับคณะกรรมการดังกล่าว ไม่มีกฎหมายรองรับอํานาจ
ั
หน้าที่อย่างชัดเจน การพิจารณาแก้ไขปญหายึดถือเอกสารหลักฐานทางราชการเป็นสําคัญ ทําให้ผลการ
ั
ั
ดําเนินการแก้ไขปญหา ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ทําให้การแก้ไขปญหา
7‐46