Page 66 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยสาเหตุการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
P. 66

55


                      สอบสวนสามารถกระท าการตามที่กฎหมายให้อ านาจไว้โดยใช้อ านาจตามกฎหมายเพื่อด าเนินการ

                      รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งอาจถือว่าเป็นเครื่องมือของพนักงานสอบสวน เช่น หมายเรียก หมายจับ

                      การจับ หมายค้น การค้น การควบคุม การฝากขัง การปล่อยชั่วคราว  เป็นต้น เพื่อให้การสอบสวน
                      บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วจึงเสนอความ   เห็นในส านวนการสอบสวน

                      ว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องเสนอต่อพนักงานอัยการต่อไป พนักงานอัยการจะตรวจพิจารณาในส านวน

                      การสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานพอฟ้องหรือไม่ โดยอาจมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องหรือเห็นควรสั่งฟ้อง

                      หรือสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมก็ได้  แต่ถ้ามีความเห็นควรสั่งฟ้องพนักงานอัยการก็จะยื่นฟ้องต่อศาล

                      เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาล ศาลไม่จ าเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง   แต่ถ้าเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวน
                      มูลฟ้องก่อนก็ได้ โดยปกติในทางปฏิบัติศาลมักจะไม่สั่งให้ไต่สวน มูลฟ้อง  โดยสั่งประทับฟ้องไว้

                      พิจารณาในทันที ทั้งนี้เนื่องจากคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนั้นถือว่าได้ผ่านการสอบสวน

                      ของพนักงานสอบสวนและผ่านการตรวจสอบของพนักงานอัยการมาแล้วถึง   2  ชั้น จึงต่างกับกรณี

                      ที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เองนั้นยังไม่มีการตรวจสอบมาก่อนว่าผู้ถูกฟ้องนั้นได้เป็นผู้กระท า

                      ผิดจริงหรือไม่ หรือเป็นการแกล้งกล่าวหากันหรือ ไม่ อย่างไร
                                  และกรณีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลไม่ว่าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองหรือพนักงานอัยการ

                      เป็นโจทก์ก็ตาม ก็ต้องค านึงถึงเขตอ านาจของศาลที่จะยื่นฟ้องด้วย ว่าศาลนั้น ๆ มีเขตอ านาจใน

                      การพิจารณาคดีหรือไม่  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา 22 - 26)

                                  เมื่อศาลชั้นต้นท าการพิจารณาคดีฝ่ายโจทก์และจ าเลยต้องน าพยานหลักฐาน
                      ต่าง ๆ มาสืบ  โดยโจทก์ต้องน าสืบให้ศาลแน่ใจว่าจ าเลยเป็นผู้กระท าผิดจริง  ส่วนฝ่ายจ าเลยก็ต้อง

                      น าสืบถึงความบริสุทธิ์ของตนแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่าตนไม่ได้เป็นผู้กระท าผิด หรือหากศาล

                      มีความสงสัยตามสมควรว่าจ าเลยได้กระท าผิดหรือไม่  ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จ าเลย

                      หรือกรณีจ าเลยอาจรับสารภาพต่อศาลก็ตาม ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้
                      ถ้าความผิดนั้นมีอัตราโทษอย่างต่ าให้จ าคุกไม่ถึงห้าปี  ถ้าความผิดมีอัตราโทษสูงกว่าคืออย่างต่ า

                      ให้จ าคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป  ศาลจะต้องท าการสืบพยานหลักฐานก่อนจนกว่าจะพอใจว่าจ าเลยได้

                      กระท าผิดจริง  เมื่อท าการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นแล้ว ศาลก็จะพิพากษาคดี ถ้าคดีนั้นไม่มี

                      การอุทธรณ์หรือฎีกาก็ถือว่าคดีนั้นมีค าพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องท าให้คดีอาญา

                      ระงับไปตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา 39(4)
                                  แต่ถ้ามีการอุทธรณ์คดีอาญาก็ยังไม่ระงับจนกว่าศาลอุทธรณ์จะท าการพิพากษาและ

                      ไม่มีการฎีกา หรือล่วงเลยก าหนดอายุความฎีกา หรือมีการฎีกาและศาลฎีกาพิพากษามาแล้ว

                      จึงจะถือว่าคดีนั้นมีค าพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71