Page 27 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 27
๑๘
รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”
๒) เป็นการ เพิ่มโอกาสของผู้ลี้ภัยในการแสวงหาความปลอดภัย
๓) เป็นการป้ องกันปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐที่เป็นประเทศต้นทางและประเทศที่ให้ที่พักพิง
ในปัญหาผู้ลี้ภัย เมื่อรัฐอันเป็นภาคีของอนุสัญญาให้ที่ลี้ภัยแก่คนจากรัฐอื่น รัฐที่เป็นเจ้าของ
ผู้ลี้ภัยก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการกระท าที่สันติ ตามหลักมนุษยธรรม และตามกฎหมาย
แทนที่จะเป็นการกระท าที่แสดงออกถึงความเป็นศัตรู
๔) เป็นการ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของรัฐในการร่วมรับผิดชอบในการให้ความคุ้มครอง
แก่ผู้ลี้ภัยเป็นการช่วยเหลือส านักงานข้อหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติในการระดมความ
๕) คุ้มครองระหว่างประเทศแก่ผู้ลี้ภัย
๒.๑.๓ สาเหตุที่ประเทศไทยไม่เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑
ประเทศไทยหยิบยกเหตุผลหลายประการเพื่อใช้อธิบายว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไม่เข้าเป็น
ภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ เหตุผลส าคัญสองประการอ้างอิงจาก บันทึกการ
ประชุมคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาปัญหาชนกลุ่มน้อยและกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย
ในคณะกรรมการต่างประเทศวุฒิสภา ๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ได้แก่
ประการแรก แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑
ประเทศไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือแกผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว และมีมาตราช่วยเหลือที่อาจจะดีกว่าประเทศที่เป็นรัฐ
ภาคีสมาชิกของอนุสัญญาดังกล่าวเสียด้วยซ ้า
ประการที่สอง ที่ตั้งด้านภูมิศาสตร์ของประเทศไทย มีชายแดนติดกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งเพื่อน
บ้านเหล่านั้นยังมีการพัฒนาที่ต ่ากว่าประเทศไทย จึงมีการอพยพเข้ามาในประเทศไทยโดยอ้างสาเหตุ
ต่าง ๆ นานา ในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ นั้น อาจเป็นปัจจัยดึงดูด
ให้มีผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้าในประเทศไทยเป็นจ านวนมาก
ทั้งนี้ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและฝ่ายความมั่นคงได้มีพิจารณาข้อดีข้อเสียหลายครั้งแต่ยัง
ไม่เห็นควรที่ประเทศไทยควรเข้าเป็นรัฐภาคีสมาชิกของอนุสัญญาฯ แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศจะได้
รื้อฟื้นกระบวนการคณะท างานเพื่อพิจารณาความเหมาะสมส าหรับการที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคี