Page 102 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 102

๙๓
                                       รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”


                  กะเหรี่ยงพุทธได้มีการสู้รบกับทหารพม่าหลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๗  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓


                  การปะทะกันบริเวณชายแดนส่งผลทําให้มีผู้คนจากฝั่งพม่ากว่า ๒๕,๐๐๐ คน อพยพลี้ภัยเข้ามาใน

                  ประเทศไทย ทหารกองกําลังกะเหรี่ยงพุทธส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนบริเวณดังกล่าวให้

                  เป็นดินแดนภายใต้การควบคุมของกองทัพพม่าและยุติการสู้รบที่ยืดเยื้อมากว่า ๑๖ ปี


                         ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เกิดการสู้รบระหว่างกองกําลังอิสระคะฉิ่น (KIA) และกองกําลัง


                  พม่าในบริเวณภาคเหนือของประเทศเมียนมาร์ใกล้กับชายแดนประเทศจีน ซึ่งเป็นการยุติสัญญาหยุดยิงที่

                  เคยทําขึ้นในปี พ.ศ.  ๒๕๓๗  และมีรายงานการล่วงละเมิดทางเพศต่อประชาชน โดยมีผู้หญิงและเด็ก

                  มากกว่า ๓๕ คนถูกข่มขืนในช่วงเวลาเพียงสองเดือนแรกของการสู้รบ และการสู้รบทําให้ประชาชนกว่า

                  ๓๐,๐๐๐ คนกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ



                         กองทัพพม่าในรัฐคะฉิ่นได้บังคับนักโทษให้ทํางานขนของในบริเวณเขตที่มีการสู้รบ นักโทษ

                  จํานวนหลายร้อยคนได้ถูกนําตัวมาจากเรือนจําและค่ายทํางานของนักโทษและถูกส่งไปยังหน่วยซึ่งอยู่

                  แนวหน้า ถูกบังคับให้เครื่องมือทางทหารและสัมภาระต่าง ๆ และหลายครั้งคนกลุ่มนี้ถูกใช้เป็นโล่มนุษย์

                  เพื่อเป็นเป้ ากันการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามและเคลียร์พื้นที่จากระเบิดสังหารบุคคล



                         จะเห็นได้ว่า กองทัพพม่ายังคงมีการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

                  โดยการใช้ระเบิดสังหารบุคคล บังคับใช้แรงงาน การทรมาน ทุบตี และการปล้นสะดมทรัพย์สิน การล่วง

                  ละเมิดทางเพศยังคงเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง โดยเหยื่อส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กองทัพพม่า

                  ยังคงเกณฑ์เด็กเข้าร่วมในกองทัพ แม้ว่ารัฐบาลทหารพม่าจะได้ร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ

                  ในการปลดประจําการทหารที่เป็นเด็กก็ตาม



                                                                         ๑
                         จากการสํารวจของ Human Rights Watch ในปี ๒๕๕๔  จึงพบว่าสถานการณ์ด้านการคุ้มครอง
                  สิทธิมนุษยชนของประเทศเมียนมาร์ยังไม่ได้รับการพัฒนามากนัก ประชาชนยังคงถูกจํากัดเสรีภาพในการ

                  แสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และการรวมกลุ่ม แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนการจํากัดสื่อมากขึ้น



                         สําหรับสถานการณ์ด้านผู้ลี้ภัยนั้น ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ เอริกา เฟลเลอร์ เจ้าหน้าที่ด้านการ

                  คุ้มครองระดับสูงสุดในหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ได้เดินทางเยือนประเทศเมียนมาร์ครั้ง

                  สําคัญ โดยสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติได้มีมีโครงการในรัฐระขิ่นทางตะวันตก และ



                  ๑  Human Rights Watch. “World Report ๒๐๑๑: Burma”. http://www.hrw.org/world-report-๒๐๑๑/burma
   97   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107