Page 55 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
P. 55

บทที่ ๒




                          คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
                                  ในความสัมพันธระหวางเอกชนดวยกันของไทยและตางประเทศ



                              ภายหลังจากการประกาศปฏิญญาสากลวาดวยสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม

                       ค.ศ. ๑๙๔๘ ซึ่งเปนผลของนําแนวความคิดในทางปรัชญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยมาบัญญัติในเอกสาร
                       เพื่อใหเปนมาตรฐานสากลเดียวกัน นับแตนั้นเปนตนมาสิทธิของมนุษยไดทวีความสําคัญมากขึ้น

                       ตามลําดับ จนกลาวไดวาเปนหนาที่ของประเทศตางๆ ที่จะตองรวมมือกันหาทางคุมครองสิทธิ
                       มนุษยชนใหดีที่สุด พัฒนาการสูงสุดของความรวมมือกันเพื่อคุมครองสิทธิมนุษยชนของประเทศตางๆ

                       ที่เกิดขึ้นในเวทีระดับโลกคือ การยกระดับความสําคัญของสิทธิเอกชน (Individual Rights) ใหเปน

                       สิทธิระหวางประเทศ (International Rights) ซึ่งหมายความวา ในกรณีที่รัฐกระทําการใดอันเปนการ
                       ละเมิดสิทธิของปจเจกบุคคลแลว ปจเจกบุคคลอาจเปนผูเสียหายตามกฎหมายระหวางประเทศและ

                       สามารถยื่นคํารองเรียนตอองคกรซึ่งทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนระหวางประเทศได จะเห็นวาการ

                       กําหนดหลักเกณฑใหปจเจกชนในฐานะผูเสียหายสามารถยื่นคํารองขอตอศาลไดนั้น ถือเปนขอยกเวน
                       ของหลักทั่วไปในกฎหมายระหวางประเทศที่กําหนดวารัฐและองคการระหวางประเทศเทานั้นที่เปนผู

                       ทรงสิทธิตามกฎหมายระหวางประเทศ สวนสิทธิ หนาที่และความรับผิดของบุคคลธรรมดาในทาง
                                                                                               ๙๔
                       ระหวางประเทศนั้นจะแสดงออกโดยผานรัฐซึ่งเปนเจาของสัญชาติของบุคคลดังกลาว นอกจากนี้
                       การกระทําละเมิดของรัฐดังกลาวอาจถือเปนการกระทบกระเทือนสิทธิของรัฐอื่นๆ และทําใหรัฐ

                       เหลานั้นมีสิทธิรวมมือกันดําเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อยุติการกระทํานั้นๆ ไดอีกดวย กลาวไดวา
                       ปจจุบันกระแสเรื่องสิทธิมนุษยชนไดทวีความสําคัญมากยิ่งขึ้นจนนํามาสูการกอตั้งสถาบันและองคกร

                       ตางๆ ทั้งในระดับระหวางประเทศและระดับภูมิภาคขึ้นเพื่อเปนกลไกสําคัญในการทําหนาที่คุมครอง

                       สิทธิมนุษยชนโดยมุงหมายใหการคุมครองสิทธิมนุษยชนมีผลในทางปฏิบัติไดอยางแทจริงและมี
                       ประสิทธิภาพมากที่สุด ในบทนี้ คณะผูศึกษาวิจัยไดแบงหัวขอการศึกษาออกเปน ๓ ขอ ไดแก (๑)

                       บทบาทและอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค (๒) บทบาทและ
                       อํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนในระดับประเทศ และ (๓) บทสรุป

                       วิเคราะหเปรียบเทียบเกี่ยวกับขอบเขตอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชน

                       ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้







                              ๙๔
                               จุมพต สายสุนทร, กฎหมายระหวางประเทศเลม ๑, พิมพครั้งที่ ๗ (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพวิญูชน,
                       ๒๕๕๐), น. ๒๒๗.
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60