Page 19 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
P. 19

๑๕






                              ๑.๑.๒ รากฐานความคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน

                                        (๑.๑.๒.๑) แนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายธรรมชาติ

                                     แนวคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติเริ่มตนตั้งแตสมัยกรีกโรมันและมีอิทธิพลทาง
                       ความคิดเกี่ยวกับกฎหมายเรื่อยมาจนกระทั่งปจจุบัน เนื่องจากมนุษยตองการแสวงหาความยุติธรรม

                       ของมนุษยชาติในฐานะที่เปนอุดมคติของกฎหมายเมื่อสังคมและกฎหมายอยูในสภาพที่ไมพึง
                               ๓๗
                       ปรารถนา  กลาวคือ เมื่อมีวิกฤติการณทางสังคมหรือการเมืองเกิดขึ้นจากความขัดแยงกันระหวางคน
                       ในสังคมดวยกัน หรือระหวางผูปกครองกับผูถูกปกครองอันเนื่องมาจากการการใชอํานาจที่ปราศจาก

                       ความเปนธรรมของผูปกครอง และกฎหมายบานเมืองไมสามารถจะแกไขปญหาความขัดแยงดังกลาว

                       ได กฎหมายธรรมชาติจึงถูกกลาวอางขึ้นในฐานะเปนหลักประสานความขัดแยงระหวางคนในสังคม
                       และเปนเหตุผลในการเรียกรองสิทธิเสรีภาพและตอสูกับการใชอํานาจรัฐที่ไมเปนธรรมดังกลาว

                       โดยอางวาในสภาวะธรรมชาติมีกฎเกณฑตางๆ ที่เกิดขึ้นเองโดยไมมีผูใดบงการเรียกวา “เหตุผลของ
                       เรื่อง” ควบคุมปกครองและผูกมัดมนุษยทุกคน และเหตุผลอันเดียวกันนี้ก็มีอยูในตัวมนุษยดวยเชนกัน

                       มนุษยจึงสามารถใชเหตุผลที่วานี้ทําความเขาใจและเขาถึงกฎเกณฑตางๆ เหลานั้นได และเหตุผลอัน

                       เปนกฎเกณฑที่เรียกวากฎหมายธรรมชาติดังกลาว ไดสอนมนุษยทั้งมวลผูพิจารณาเห็นกฎธรรมชาติ
                          ๓๘
                       นี้วา
                                     “โดยที่ชีวิตทั้งหมดลวนเสมอภาคเทาเทียมกันและเปนอิสระทั่วกัน จึงไมมีผูใดอาจ
                       ทําอันตรายผูอื่นในดานชีวิต สุขภาพ อิสรภาพ และทรัพยสมบัติ...

                                     และโดยที่มนุษยทุกคนตางลวนไดมาซึ่งคุณสมบัติเดียวกันที่ตางรวมเปนเจาของ

                       ในสภาวะรวมแหงธรรมชาติ จึงไมอาจยินยอมใหมีการกดบังคับใดๆ ระหวางมนุษยดวยกันซึ่งมี
                       ลักษณะเปนการใหอํานาจในการทําลายมนุษยดวยกันเองราวกับวาเราถูกสรางขึ้นมาเพื่อประโยชน

                       ใชสอยของผูอื่นหรือราวกับ (ผูอื่น) เปนสัตวโลกที่ดอยคาตอยต่ํากวาที่ดํารงอยูเพื่อรับใชเรา...

                                     ตามที่พิสูจนมาแลว มนุษยซึ่งกําเนิดขึ้นมาพรอมกับสิทธิเด็ดขาดในเสรีภาพ
                       อันสมบูรณ และการไมถูกควบคุมซึ่งการใชสิทธิทั้งมวลและอภิสิทธิ์ตามกฎแหงธรรมชาติในสภาพที่

                       เทาเทียมกับมนุษยอื่นๆ ในโลก ยอมมีอํานาจโดยธรรมชาติไมเพียงการปกปองทรัพยสินของเขา
                       กลาวคือ ชีวิต อิสรภาพ และทรัพยสมบัติ ตอการถูกทําใหเสียหายหรือความพยายาม (ดังกลาว)

                       จากผูอื่น แตยังมีอํานาจในการตัดสินและลงโทษการละเมิดกฎแหงธรรมชาตินั้นตอบุคคลอื่น...”



                              ๓๗
                                 สมยศ  เชื้อไทย, นิติปรัชญาเบื้องตน,พิมพครั้งที่ ๑๐, (กรุงเทพมหานคร :  สํานักพิมพวิญูชน,
                       ๒๕๔๙), น. ๗๓.
                              ๓๘
                                ในงานเขียนของ John Locke เรื่อง “หนังสือเลมที่ ๒ วาดวยรัฐบาลพลเรือน” (Second Treatise of
                       Civil Government) ใน จรัญ  โฆษณานันท, อางแลว เชิงอรรถที่ ๗, น. ๑๑๐ – ๑๑๒.
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24