Page 289 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 289
(๑) ไปอยู่กับบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นระหว่างผู้ถูกร้องกับกลุ่มบริษัทเจ้าของเรือไทย จำนวน ๒๓ บริษัท
(๒) ยื่นลาออกตามโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย” เนื่องจากเมื่อผู้ร้องไม่ได้รับการ
พิจารณาให้ไปทำงานกับบริษัทร่วมทุนใหม่ ผู้ร้องจึงต้องยื่นใบลาออกตามโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความยินดี
ทั้งสองฝ่าย” โดยผู้ร้องไม่ทราบข้อเท็จจริงในขณะยื่นใบลาออกเพื่อเข้าโครงการว่า ผู้ถูกร้องยังดำเนินธุรกรรม
ตามปกติ ถือว่าผู้ถูกร้องปิดบังข้อเท็จจริงที่ควรบอกให้แจ้ง เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิใน
การมีงานทำ ซึ่งหมายรวมถึงความมั่นคงในการทำงานของผู้ร้อง ทั้งที่ผู้ร้องยังคงต้องการทำงานกับผู้ถูกร้องต่อไป
๓.๒ ข้อเท็จจริงจากฝ่ายผู้ถูกร้อง
๑. คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ให้ผู้ถูกร้องซึ่งมีฐานะตาม
กฎหมายเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งกองเรือพาณิชย์ ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน
ระหว่างผู้ถูกร้องกับกลุ่มบริษัทเจ้าของเรือไทย จำนวน ๒๓ บริษัท ในสัดส่วน ๓๐:๗๐ โดยผู้ถูกร้องลงทุน
๒๐๐ ล้านบาท และกลุ่มบริษัทเจ้าของเรือไทย จำนวน ๒๓ บริษัท ร่วมลงทุน ๔๖๖ ล้านบาท
๒. ผู้ถูกร้องได้จัดทำประกาศลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๙ ถึงพนักงานของผู้ถูกร้อง รวมทั้งผู้ร้อง
เพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย” เปิดโอกาสให้พนักงานของผู้ถูกร้อง
ที่มีความประสงค์จะออกจากงานโดยความสมัครใจ ให้ยื่นใบสมัครตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๖ มีนาคม ๒๕๔๙
ปรากฏว่ามีพนักงานยื่นใบลาออกเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๓๖ คน และผู้ถูกร้องมีมติให้เข้าร่วมโครงการ
ได้ ๓๔ คน ที่เหลืออีก ๒ คน ต้องรอผลการสอบสวนทางวินัย ซึ่งผู้ถูกร้องได้มีคำสั่งที่ ๒๖/๒๕๔๙ ลง
วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๙ และเมื่อตรวจสอบรายชื่อแนบท้ายคำสั่ง พบว่าผู้ร้องอยู่ในลำดับที่ ๙
๓. ผู้ถูกร้องได้มีคำสั่ง ที่ ๒๙/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ เลิกจ้างพนักงานของผู้ถูกร้อง
ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับพนักงานที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย” จำนวน
๑๘ คน โดยให้เหตุผลว่า จะต้องเลิกจ้างพนักงานของผู้ถูกร้องจำนวนนี้ตามข้อบังคับของผู้ถูกร้องก่อน เพราะ
พนักงานของผู้ถูกร้องทั้ง ๑๘ คน นั้น จะได้เข้าไปทำงานที่บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรี
๔. ผู้ถูกร้องได้มีประกาศลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ถึงลูกค้าของผู้ถูกร้อง เพื่อปฏิเสธข่าวที่มี
การตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางฉบับในขณะนั้น ว่าผู้ถูกร้องเลิกจ้างพนักงานรวมถึงจะปิดกิจการ ซึ่งจะทำให้
เกิดความไม่เชื่อมั่นจากลูกค้า ว่าผู้ถูกร้องยังคงดำเนินธุรกรรมตามปกติ และในประกาศดังกล่าวได้แจ้งราย
ชื่อพนักงานของผู้ถูกร้องจำนวน ๓๐ คน ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย”
โดยรายชื่อดังกล่าวนั้นไม่มีชื่อของผู้ร้องแต่อย่างใด
๕. ผู้ถูกร้องได้มีหนังสือถึงประธานอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ลงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ชี้แจง
เรื่องที่ประธานอนุกรรมการสิทธิแรงงานมีหนังสือถึงผู้ถูกร้อง เพื่อให้ชะลอโครงการ “ร่วมใจจากด้วยความ
ยินดีทั้งสองฝ่าย” โดยในหนังสือดังกล่าวได้กล่าวถึงความเป็นมาของนโยบายจัดตั้งกองเรือแห่งชาติ
การดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ การแก้ปัญหา
ภายในของผู้ถูกร้องภายหลังจากการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน รวมถึงปัญหาในการดำเนินการเกี่ยวกับ
พนักงานซึ่งมีนโยบายแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานกับบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น
ใหม่ และกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย
๓.๓ เอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ประธานอนุกรรมการสิทธิแรงงานได้มีหนังสือไปสอบถามข้อเท็จจริง รวมถึงได้มีหนังสือถึงส่วนราชการ
ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ดำเนินการชะลอหรือยกเลิกโครงการร่วมใจจากด้วยความยินดีทั้งสองฝ่ายของผู้ถูกร้อง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีหนังสือถึงประธานอนุกรรมการสิทธิแรงงาน สรุปได้ดังนี้
กระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนง พิทยะ) ได้มีหนังสือ ที่
กค.๐๘๐๖/๑๒๘๑๘ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ชี้แจงหลักการในการดูแลผลประโยชน์ให้กับพนักงานผู้
และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๒๘๙
Master 2 anu .indd 289 7/28/08 9:23:24 PM