Page 283 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 283
จ้างกรรมการลูกจ้างและกรรมการสหภาพแรงงานด้วยไม่ละเว้นแม้แต่ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ด้วยการอ้างเหตุผล
การประกอบการขาดทุน จึงต้องลดขนาดองค์กร ทั้งนี้ เพื่อผลักภาระให้ผู้ร้องและลูกจ้างไปใช้สิทธิทางศาล
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและใช้ระยะเวลานาน ซึ่งฝ่ายผู้ถูกร้องมีความได้เปรียบกว่า แม้ว่าคณะกรรมการฯ ได้พยายาม
ไกล่เกลี่ยให้ผู้ถูกร้องยอมรับความจำเป็นและความชอบธรรมในเสรีภาพของลูกจ้างในการรวมตัวและการ
เจรจาต่อรอง เพื่อมีการเจรจาให้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เหมาะสมและเป็นธรรมโดยมุ่งที่จะ
ร่วมงานอย่างสมานฉันท์กันต่อไป แต่ผู้ถูกร้องยืนกรายให้ผู้ร้องและลูกจ้างใช้สิทธิทางศาล
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ พยายามหารือเจ้าหน้าที่สำนักงานคุ้มครองแรงงาน ขอให้ วินิจฉัยกรณี
การเลิกจ้างลูกจ้างหญิงมีครรภ์เพื่อลดภาระการต้องใช้สิทธิทางศาล แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด
ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงมีมติว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำที่ละมิดสิทธิมนุษยชน และ
เป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ละเมิดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ตลอดจนข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งสาม
ประเด็นการตรวจสอบ
ข้อเสนอแนะและมาตรการการแก้ไขปัญหา
คณะกรรมการสิทธิแรงงานพิจารณาแล้ว เห็นควรมีข้อเสนอแนะและมาตรการการแก้ไขปัญหาการ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไหนี้
มาตรการการแก้ไขปัญหา
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
(๑) ดำเนินการให้ผู้ถูกร้องยกเลิกประกาศห้ามลูกจ้างแจกจ่ายใบข้อความ ใบปลิวหรือเอกสารใดๆ ใน
บริเวณบริษัทผู้ถูกร้อง และประกาศหรือคำสั่งใดๆ ที่มีลักษณะจำกัดเสรีภาพของลูกจ้าง ในการสื่อสารและ
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในสถานประกอบการ และประสานความร่วมมือระหว่างผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง เพื่อหา
มาตรการในการคุ้มครองและป้องกันมิให้การใช้เสรีภาพดังกล่าวเกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ให้แล้ว
เสร็จภายใน ๔๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบ
(๒) สั่งการให้ผู้ถูกร้องรับลูกจ้างหญิงมีครรภ์กลับเข้าทำงาน และเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นใน
ช่วงการเลิกจ้าง ทั้งนี้ ภาย ๔๕ วัน นับแต่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบ
(๓) ดำเนินการให้ผู้ถูกร้องจัดสภาพการจ้างที่เป็นธรรมไม่เกิดการเลือกปฏิบัติระหว่าง ลูกจ้างที่ถูกแบ่ง
แยกกลุ่มเป็นหลายกลุ่ม ทั้งนี้ ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบ
(๔) ใช้กรณีร้องเรียนนี้เป็นกรณีศึกษา ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ด้านแรงงาน สภาองค์การนายจ้าง และ
สภาองค์การลูกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเข้าใจต่อบาบาทหรือความชอบธรรมของลูกจ้างและ
สหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรองและการป้องกันสิทธิของลูกจ้าง และการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของ
เจ้าหน้าที่ด้านแรงงานในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองลูกจ้างหญิงมีครรภ์และลูกจ้างในระบบจ้างเหมา
ค่าแรง ทั้งนี้ ภายใน ๖ เดือนนับแต่วันที่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบ
(๕) ดำเนินการประสานความร่วมมือระหว่างผู้ร้องและผู้ถูกร้องเพื่อสร้างระบบแรงงานสัมพันธ์บน
พื้นฐานของการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ความร่วมมือ ความสมานฉันท์ และความถูกต้องเป็นธรรม
มาตรการเชิงนโยบาย
๑. กระทรวงแรงงาน
(๑) เร่งรัดให้จัดตั้งกลไก เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งทางแรงงานสัมพันธ์ที่มีลักษณะพหุภาคี ประกอบด้วย
ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง หน่วยงานภาครัฐ และนักวิชาการหรือผู้ทรงวุฒิด้านแรงงาน โดยพัฒนาขึ้น
จากคณะกรรมการการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ เพื่อให้นายจ้างและลูกจ้างสามารถเจรจาต่อรองเพื่อบรรลุข้อ
และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๒๘๓
Master 2 anu .indd 283 7/28/08 9:23:20 PM