Page 281 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 281

ล้านบาท และ ๑๗๒ ล้านบาท ตามลำดับ ผู้ถูกร้องก็ยังคงประกอบการตามปกติ และมีการแจ้งจ้างเหมา
              ค่าแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ตลอดมา  ไม่มีการปรับลดองค์กรแต่อย่างใด  และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้อง
              ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อจะแก้ไขปัญหาการขาดทุน โดยเฉพาะการปรับลดองค์กรดังที่ผู้ถูกร้องอ้าง แต่เมื่อ
              ผู้ถูกร้องทราบว่า ผู้ร้องยื่นข้อเรียกร้องในครั้งนี้ ผู้ถูกร้องจึงอ้างเหตุผลในการปรับขนาดองค์กรอันเนื่องมาจาก
              ผลประกอบการขาดทุน เพื่อเป็นเหตุผลในการเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งรวมทั้งหญิงมีครรภ์ ดังกล่าว
                    การประกาศนโยบายให้ลูกจ้างสมัครใจลาออก และเลิกจ้างลูกจ้างจำนวน ๒๙๗ คน เกิดขึ้นหลังจาก
              มีข้อพิพาทแรงงานระหว่างผู้ร้องกับผู้ถูกร้อง เนื่องจากผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้ถูกร้องยกเลิกการจ้างเหมาค่าแรง
              และบรรจุลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงเป็นลูกจ้างของผู้ถูกร้อง ให้จ่ายเงินค่าครองชีพแก่ลูกจ้างหญิงมีครรภ์
              เดือนละ ๓๐๐ บาทเป็นเวลา ๖เดือน ค่าฝากครรภ์ ครรภ์ละ ๑,๐๐๐๐ บาท จัดห้องน้ำสำหรับลูกจ้างหญิง
              มีครรภ์โดยเฉพาะ และจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ ซึ่งต่อมาผู้ถูกร้องจึงได้ยื่นข้อเรียกร้องในส่วน
              เรื่องการปรับค่าจ้างประจำปีและการจ่ายเงินโบนัส  ให้ขึ้นกับดุลยพินิจของผู้ถูกร้องให้ยกเลิกสวัสดิการ
              รถรับส่งทุกสายและเงินช่วยเหลือค่าพาหนะในการประชุมของผู้ร้องปีละ ๔๐,๐๐๐ บาท
                    ต่อมามีการเลิกจ้างกรรมการสหภาพแรงาน กรรมการลูกจ้างทั้งคณะ และกรรมกาสหภาพแรงงาน
              ที่มาจากการเลือกตั้งซ่อม จำนวน ๖ คน แม้จะอยู่ในเงื่อนไขการคุ้มครองของพะราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
              พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ตาม มูลเหตุสำคัญของการเลิกจ้างคือการตอบโต้การเรียกร้องของผู้ร้องดังกล่าว
                    นอกจากนี้ ก่อนเลิกจ้างเพียง ๑ วัน ผู้ถูกร้องได้ดำเนินกาเพื่อตรวจสอบเรื่องการตั้งครรภ์ของลูกจ้าง
              หญิงด้วย
              	     ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เหตุผลที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ต้องมีบทคุ้มครอง
              ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ เพราะต้องการคุ้มครองแรงงานหญิงพิเศษ เนื่องจากสภาพทางสรีระของหญิงที่ต้องมีครรภ์
              และคลอดบุตร ซึ่งเป็นการสืบทอดเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ กฎหมายคุ้มครองแรงงานจึงกำหนดมาตรการ
              การคุ้มครองไว้หลายประการ เช่น การลดชั่วโมงการทำงาน ห้ามนายจ้างใช้หญิงมีครรภ์ทำงานในเวลาดึก
              ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงย้ายงานชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอด และการลาเพื่อการคลอดโดยได้รับค่าจ้าง
              ตามปกติ โดยเฉพาะ มาตรา ๔๓ บัญญัติว่า  “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์”
              	     เมื่อผู้ถูกร้องอ้างว่าจำเป็นต้องเลิกจ้างลูกจ้างจำนวนมากเพื่อลดขนาดองค์กรลงเนื่องจากประสบภาวะ
              การขาดทุน แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าผู้ถูกร้องได้ว่าจ้างผู้รับเหมาค่าแรงให้มาทำงานในกระบวนการผลิต
              แทนจำนวนมาก การเลิกจ้างลูกจ้างหญิงมีครรภ์จำนวนเพียง ๑๐ คน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไร้ความชอบธรรม
              และก่อผลกระทบและความเดือดร้อนให้กับลูกจ้างหญิงมีครรภ์ ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทั้ง ๑๐ คน ทำงานให้
              ผู้ถูกร้องมาไม่น้อยกว่า ๗–๑๐ ปีแล้ว มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่อคนไม่น้อยกว่า ๗,๐๐๐ บาท มีภาระค่าเช่าบ้าน
              ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนบุตร เงินเหลือเก็บออมเลย เมื่อลูกจ้างในขณะมีครรภ์ทำให้เครียดมาก นอนไม่หลับ
              คิดมาก วิตกกังวลว่ากระทบต่อลูกในครรภ์
                    การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการละเมิดสิทธิของลูกจ้างหญิงมีครรภ์ และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็น
              ธรรมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔๑ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาล แรงงานและ
              วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจสังคม
              และวัฒนธรรม ว่าด้วยสิทธิในครอบครัว ข้อ ๑๐ ความว่า “รัฐภาคีแห่งกติกานี้รับรองว่า
                    ๑. ครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยงานรวมของสังคมที่เป็นพื้นฐานและเป็นธรรมชาติควรได้รับความคุ้มครอง
              และช่วยเหลืออย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะในการจัดตั้งและในขณะที่ต้อง รับผิดชอบต่อการ
              ดูแลและการศึกษาของเด็กที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ การสมรสต้องกระทำโดยความยินยอมอย่างเสรีภาพของผู้ที่
              เจตนาจะสมรส
                    ๒. มารดาได้รับการคุ้มครองพิเศษระหว่างช่วงเวลาตามควรก่อนหรือหลังการให้กำเนิดบุตรในระหว่าง
              ช่วงเวลาระยะเวลาเช่นว่า มารดาซึ่งทำงานควรได้รับอนุญาตให้ลาโดยรับค่าจ้าง หรือลาโดยมีสิทธิประโยชน์

                                                                    และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๒๘๑





     Master 2 anu .indd   281                                                                     7/28/08   9:23:19 PM
   276   277   278   279   280   281   282   283   284   285   286